Ad
Ad
Ad
10 Results

title

Search

shellnell-entrance

สวัสดีครับ พอดีผมได้มีโอกาสกลับมาเที่ยวที่ Osaka อีกรอบ ในต้นเดือนเมษายน 2562  เพราะตั๋วตอนนี้ถูกกว่าหลังสงกรานมาก พอเห็นตั๋วเลยรีบจองทันที

คืนแรกก็ทำการจองที่ Shell Nell by WBFอยู่บนย่าน Namba ซึ่งการเลือกที่นี่ก็ไม่มีอะไรมาก รูปในเว็บคือดูสะอาดดี และรีวิวเรทติ้ง 9 นิดๆ

68055478

shell-nell-namba--080620161101087118-1

แต่พอได้เข้ามาพักแล้วก็รู้สึกติดใจที่นี่มาก เหตุผลหลักๆคือ สะดวก สะอาด ใกล้ย่านสำคัญ และร้านอาหารดีๆอยู่ใกล้มากมายครับ

ขั้นตอนการเข้ามาพักที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากครับ พอมาถึงแล้วเราก็ทำการ check in โดย passport ของเรา

เขาก็จะให้เอากระเป๋าเดินทางเราและกุญแจลอคมาหนึ่งอันเพื่อเข้าไปเก็บในห้องเก็บกระเป๋าของเขา

จากนั้นเขาจะให้กุญแจลอคเกอร์มา ซึ่งกุญแจลอคเกอร์อันนี้ จะใช้ในการเปิดเข้าห้องพัก (คือแยกฝั่งชาย หญิง)

ทางเดินเข้าไปห้องพักอยู่ชั้น 1
ทางเดินเข้าไปห้องพักอยู่ชั้น 1

หลังจากเข้าไปในห้องพักฝั่งผู้ชาย ก็จะเจอลอคเกอร์ต่างๆ ให้เราไปไขลอคเกอร์ตามหมายเลขบนกุญแจ เพื่อเก็บสัมภาระส่วนตัว ( ไม่ใหญ่มากนัก) ซึ่งภายในลอคเกอร์จะมีถุงยังชีพ 555 คือถุงที่ทาง hostel เตรียมไว้ให้เรา ภายในจะมีผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า รองเท้าแตะ , แปรงสีฟัน และชุดใส่เดินภายใน hostel อีกหนึ่งชุด

ซึ่งแต่ละวันจะต้องเอามาคืนเขาที่ front ก่อน 10 โมงเช้าทุกวันครับ

เข้ามาใน hostel จะเจอเหมือนคาเฟ่เล็กๆให้นั่งทำงาน หรือซื้ออาหารเข้ามากินได้ มีกาแฟราคา 100 เยน สำหรับแขกที่มาพัก (กดจากเครื่อง)

215816

ในห้องนอนก็จะมีห้องอาบน้ำเป็นแบบ Shower ซึ่งสะอาด และมีแชมพู ครีมอาบน้ำ ครีมนวดไว้พร้อม ( hostel บางที่ในญี่ปุ่นจะเป็นอาบรวมแบบออนเซ็น) ไม่มี shower แยก

โซนอ่างล้างหน้า ก็จะมีมีดโกนหนวด , hair tonic , hair lotion, และ after shave ไว้ให้บริการ

215801 215797 215798 1145680_17052911270053291798

การเดินทางจากสนามบิน Kansai (Kik) มาที่ Shell Nell Namba by WBF

ผมเลือกใช้ Nankai airport express train มาลงที่ namba station ใช้เวลาเดินทางเพียง 45 นาที และ ค่ารถไฟเพียง 920 yen ซึ่งรู้สึกจะถูกที่สุดเท่าที่เจอ

พอมาลงสถานี namba ก็เดินต่อมาเพียง 5 นาทีก็ถึงตัว hostel ครับ สะดวกจริงๆ

สำหรับการจองก็สามารถทำได้โดยไป จองที่นี่ 

สำหรับใครที่กำลังเดินทางมาเที่ยวโอซาก้า และกำลังหาที่พักราคาประหยัดอยู่ Shell nell namba hostel ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีตัวนึงเลยนะครับ ในราคาไม่แพง แถมสะดวกสบาย

 

ภูเขาไฟฟูจิที่คนไทยคุ้นเคยมานาน เพราะนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของประเทศญี่ปุ่นแล้ว ยังปรากฏอยู่ในสื่อต่างๆ มากมาย จนทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะต้องแวะเวียนไปเยี่ยมชมเป็นที่แรกๆ ของทริปเสมอ

Mount-Fuji

ภูเขาไฟฟูจินั้นมีความสูงอยู่ที่ 3,776 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งหลายที่อยากจะไปพิชิตยอดฟูจิให้ได้สักครั้งในชีวิต รู้จริงญี่ปุ่นได้รวบรวมข้อมูลสำหรับการเตรียมตัวและรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการปีนขึ้นภูเขาไฟฟูจิมาให้ตามรายละเอียดด้านล่าง

ฤดูกาลปีนเขาฟูจิเริ่มเมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่

เมื่อฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่นมาถึง การปีนภูเขาไฟฟูจิก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก

6901_05

ฤดูกาลปีนเขาฟูจินั้นเริ่มตั้งแต่ต้นกรกฎาคมไปจนถึงกลางกันยายนของทุกปี โดยเส้นทางและสิ่งอำนวยความสะดวกบนเขาจะเริ่มเปิดให้บริการ ในช่วงนี้ภูเขาฟูจิจะไม่มีหิมะแล้ว อากาศก็เหมาะสม ไม่มีลมแรง รถบริการสาธารณะก็สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก กระท่อมระหว่างทางก็เปิดให้บริการ นักปีนเขาทั้งหลายจะทยอยกันมาขึ้นเขาในช่วงนี้ ส่วนวันที่เฉพาะเจาะจงนั้นขึ้นอยู่กับประกาศในแต่ละปีแล้วก็ขึ้นอยู่กับแต่ละเส้นทาง (Trails) อีกด้วย

สามารถเช็ควันเปิด-ปิดฤดูกาลของแต่ละ Trails ได้ที่นี่ 

ช่วงที่ควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากนักท่องเที่ยวเยอะมาก

ช่วงพีคของการปีนเขาฟูจิคือช่วงโรงเรียนปิดเทอมระหว่าง 20 กฤกฎาคม – ปลายสิงหาคม แล้วช่วงที่พีคที่สุดแบบนักปีนเขาต้องเข้าคิวกันขึ้นเขาเลยคือช่วง Obon Week ในราวๆ กลางสิงหาคม

2013-08-02-HuffCrowdsonthewayup

ช่วงที่เหมาะสมสำหรับการปีนเขาคือระหว่างสัปดาห์ของต้นเดือนกฤกฎาคม ก่อนที่โรงเรียนในญี่ปุ่นจะปิดเทอม แต่ช่วงนี้ก็มีข้อเสียตรงที่อากาศจะแปรปรวนมากกว่าช่วงอื่นๆ ของฤดูกาล

นอกฤดูกาลปีนเขา ยังไปเที่ยวได้ไหม

กระท่อมข้างทางจะเปิดให้บริการไม่กี่วันก่อนเริ่มฤดูกาลและจะเปิดไปจนถึงกลางกันยายนเท่านั้น ส่วนรถบริการสาธารณะต่างๆ จะมีไม่บ่อยหรือแถบไม่มีเลยในช่วงนอกฤดูกาล

แม้ว่าจะไม่มีหิมะปกคลุมภูเขาฟูจิตั้งแต่มิถุนายนไปจนถึงตุลาคม และอุณหภูมิบนยอดเขาอาจจะลดต่ำกว่าศูนย์ได้ในบางช่วง ต้องเป็นนักปีนเขาอาชีพที่มีประสบการณ์เท่านั้นถึงจะขึ้นเขาในช่วงปลายมิถุนายนหรือกันยายม โดยเฉพาะหากมีหิมะปกคลุมยอดเขาจะต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติมเป็นพิเศษ

ช่วงระหว่างตุลาคม – กลางมิถุนายน การขึ้นเขาฟูจิจะเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ทั้งจากสถาพอากาศ ลม หิมะ น้ำแข็ง และความเสี่ยงอื่นๆ

เพราะฉะนั้นการขึ้นเขาฟูจินอกฤดูกาลจึงไม่แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป

เส้นทางขึ้นเขา (Trails)

ภูเขาไฟฟูจินั้นแบ่งออกเป็นสิบชั้น หรือที่เรียกกันว่า “สถานี” (Station) สถานีชั้นที่ 1 นั้นตั้งอยู่ตีนเขา และสถานีชั้นที่ 10 คือยอดเขา ถนนรถวิ่งสามารถเข้าถึงได้ไกลสุดคือสถานีชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นครึ่งทางของการขึ้นสู่ยอดเขา ที่สถานีในชั้นที่ 5 นี้ มีทั้งหมด 4 สถานีด้วยกัน โดยตั้งอยู่คนละด้านของภูเขา สถานีชั้นที่ 5 เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะมาเริ่มต้นเส้นทางขึ้นเขา

p5_04

p5_05

สถานีชั้นที่ 5 ทั้ง 4 สถานี มีสถานีอะไรบ้าง ดังนี้

fuji5thstation

  • Fuji Subaru Line 5th Station (ตั้งอยู่ที่จังหวัดยามานาชิ)
    จุดเริ่มเส้นทาง Yoshida Trail (เส้นทางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว) ความสูง:  2,300 meters
    ใช้เวลาขึ้น: 5-7 hours
    ใช้เวลาลง: 3-5 hours
  • Subashiri 5th Station (ตั้งอยู่ที่จังหวัดชิซุโอกะ)
    จุดเริ่มเส้นทาง Subashiri Trail ความสูง: 2,000 meters
    ใช้เวลาขึ้น: 5-8 hours
    ใช้เวลาลง: 3-5 hours
  • Gotemba 5th Station (ตั้งอยู่จังหวัดชิซุโอกะ)
    จุดเริ่มเส้นทาง Gotemba Trail ความสูง: 1,400 meters
    ใช้เวลาขึ้น: 7-10 hours
    ใช้เวลาลง: 3-6 hours
  • Fujinomiya 5th Station (ตั้งอยู่จังหวัดชิซุโอกะ)
    จุดเริ่มเส้นทาง Fujinomiya Trail ความสูง: 2,400 meters
    ใช้เวลาขึ้น: 4-7 hours
    ใช้เวลาลง: 2-4 hours

ความยากง่ายในการขึ้นเขา

เส้นทางค่อนข้างสบาย ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะการปีนเขาใดๆ มีเพียงบางช่วงที่ชันและเต็มไปด้วยหินเท่านั้น โดยจะมีป้ายบอกทางคอยเตือนนักท่องเที่ยวอยู่เสมอว่าจะมีอุปสรรคอะไรเล็กๆ น้อยๆ คอยอยู่ในทางข้างหน้า หรือช่วงไหนมีหินถล่มก็จะมีป้ายคอยเตือนตลอด สิ่งท้าทายเดียวของการขึ้นเขาฟูจิก็คืออ็อกซิเจนจะเบาบางลงเรื่อยๆ เมื่อเราขึ้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง

จ้างไกด์ จำเป็นไหม

ไม่จำเป็น เพราะทางขึ้นเขาไม่ได้ลำบากอะไร ที่สำคัญจะมีนักท่องเที่ยวใช้เส้นทางต่างๆ อยู่เสมอตลอดช่วงฤดูกาลปีนเขา คนส่วนมากไม่จำเป็นต้องมีไกด์นำทาง แต่ว่านักท่องเที่ยวบางคนที่ไม่อยากหาข้อมูลเส้นทางต่างๆ ด้วยตนเองอาจใช้บริการไกด์ท้องถิ่นหรือบริษัททัวร์ได้ หรือจะซื้อเป็นแพคเกจปีนเขามาจากโตเกียวเลยก็ได้

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการขึ้นเขา

นักท่องเที่ยวส่วนมากจะทำเวลาเพื่อขึ้นไปถึงยอดเขาให้ทันพระอาทิตย์ขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลาเช้าๆ เป็นช่วงเวลาที่ยอดเขามีฟ้าโปร่งไม่มีเมฆปกคลุม

คำแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น คือให้ปีนขึ้นไปที่สถานีชั้นที่ 7 หรือ 8 ก่อนในวันที่หนึ่งและนอนพักที่นั้นคืนหนึ่งก่อนจะตื่นแต่เช้าเพิ่อเดินขึ้นไปบนยอดเขาในเช้าตรู่ของวันที่สอง พระอาทิตย์ที่ฟูจิจะขึ้นโดยประมาณเวลา ตี 4:30 – 5:00 ในช่วงฤดูร้อน

Climbing Fuji1ภาพจากยอดเขาฟูจิตอนประมาณ​ 4:15น. อีกนิดพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว

Climbing Fuji2

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว

การขึ้นและลงภูเขาฟูจิภายในหนึ่งวันนั้นทำได้ แต่ไม่แนะนำ เพราะนักท่องเที่ยวจะเดินกลางแดดตลอดช่วงบ่ายเพราะบนนั้นไม่มีร่มเงาเพียงพอและที่สำคัญทัศนวิสัยบนเขาจะค่อนข้างมืดเป็นบางช่วงระหว่างวันเพราะเมฆมากบนบังแสงอาทิตย์

การเดินรอบปากปล่องภูเขาไฟจะใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง จุดสูงที่สุดของภูเขาฟูจิและประเทศญี่ปุ่นจะอยู่ถัดจาก Weather Station ตรงข้ามกับจุดสิ้นสุดของ Yoshida Trail

กระท่อมพักแรมบนเขา

หากใช้เส้นทาง Yoshida Trail จะมีกระท่อมพักแรมให้บริการในสถานีชั้นที่ 7 และ 8 อยู่มากกว่าสิบสองแห่ง ส่วนเส้นทางอื่นๆ จะมีจำนวนน้อยกว่า ส่วนมากแล้วราคาค้างคืนจะอยู่ราวๆ 5,000 เยน ต่อคน โดยไม่มีอาหารบริการ และ 7,000 เยน ต่อคนรวมอาหารสองมื้อ ช่วงพีคของฤดูกาลปีนเขา กระท่อมพักแรมเหล่านี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว แนะนำให้จองที่พักไปล่วงหน้าหากใครวางแผนจะค้างคืนบนฟูจิ

นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปหาเบอร์โทรสำหรับจองที่พักบนเขาได้ที่เวปไซด์ของ The Fujiyoshida City ตามลิงค์นี้ 

กระท่อมบางแห่งก็อนุญาติให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ตั้งใจจะค้างแรมเข้าไปนั่งพักด้านในได้ โดยจะคิดราคา 1,000 – 2,000 เยน ต่อคน ต่อชั่วโมง บางแห่งมีห้องน้ำให้บริการแต่ต้องเสียค่าบริการ ราวๆ 100 – 200 เยน และมีบริการขายอาหาร น้ำดื่มและอุปกรณ์จำเป็นอื่นๆ ด้วย เช่น อ๊อกซิเจนกระป๋อง อีกหนึ่งบริการที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบคือ การประทับตราลงบนไม้เท้าปีนเขา นักท่องเที่ยวนิยมไปซื้อไม้เท้าปีนเขาก่อนเริ่มเดินทางแล้วนำไปประทับตราไว้เพื่อเป็นที่ระลึก โดยมีการเสียค่าบริการประทับตราเพียงเล็กน้อย

อุปกรณ์ปีนเขาที่จำเป็น

เพื่อให้การเดินขึ้นเขาฟูจิของเราปลอดภัย เรามาเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นและต้องนำไปด้วยกันก่อนดีกว่า

  • รองเท้า
    ต้องใช้รองเท้าปีนเขาเท่านั้นเพราะบางช่วงอาจจะต้องปีนขึ้นที่ชันหรือทางเดินเป็นหิน แนะนำรองเท้าปีนเขาแบบหุ้มข้อเพื่อปกป้องข้อเท้าของนักท่องเที่ยว
  • เสื้อผ้า
    เตรียมเสื้อผ้ากันหนาวเพราะอุณหภูมิจะต่ำและต้องเตรียมเสื้อกันลมไปด้วย บางครั้งบนยอดฟูจิอาจมีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศาได้ และมีลมแรงทำให้อากาศหนาวยิ่งหนาวขึ้นไปอีก ควรจะติดเสื้อกันฝนไปด้วย เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงรวดเร็วบนเขา ถุงมือก็เป็นไอเท็มที่สำคัญเพราะนอกจากจะปกป้องมือเราจากอากาศหนาวแล้วยังใช้สำหรับปีนป่ายในช่วงทางชันและช่วงที่เป็นหินได้
  • ไฟฉาย แนะนำไฟฉายติดหัว
    สำคัญมาก โดยเฉพาะหากเราวางแผนจะขึ้นเขาช่วงกลางคืนหรือเช้ามืด นักท่องเที่ยวบางคนใช้ไฟฉายแบบติดศีรษะซึ่งช่วยให้มือทั้งสองข้างวางสำหรับภารกิจอื่นๆ
  • อาหาร
    ควรเตรียมอาหารและน้ำดื่มไปให้เพียงพอ โดยเฉพาะหากนักท่องเที่ยวเลือกใช้เส้นทางที่ไม่ค่อยมีกระท่อมค้างแรมให้บริการ กระท่อมค้างแรมบนเขาเหล่านี้มีบริการน้ำและเครื่องดื่ม แต่ราคาก็จะสูงขึ้นตามความสูงเช่นกัน อย่าลืมเตรียมถุงขยะไว้สำหรับทิ้งขยะของเราเองไปด้วย เพราะบนเขาไม่มีบริการถังขยะสาธารณะ
  • เงิน เงิน เงิน
    เงินสดสำคัญมาก เพราะต้องใช้ซื้ออุปกรณ์จำเป็นบนเขาเช่นน้ำดื่ม อ๊อกซิเจนกระป๋องและใช้สำหรับเข้าห้องน้ำตลอดเส้นทาง และอาจต้องใช้ในกรณีฉุกเฉินเช่นต้องค้างแรม และอื่นๆ
  • ไม้เท้าปีนเขา (บางคนไม่ใช้)
    นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมซื้อไม้เท้าปีนเขาจากสถานีชั้นที่ 5 เพื่อช่วยผยุงระหว่างทาง ไม้เท้าปีนเขาเหล่านี้ราคาประมาณ 1,500 – 2,000 เยน มีขายตามร้านที่สถานีชั้นที่ 5 ทุกสถานียกเว้น สถานี Gotemba และหากเราเสียงเงินเพิ่มอีกไม่กี่ร้อยเยนเราจะสามารถนำไม้เท้าเหล่านี้ไปประทับตราไว้เป็นที่ระลึกได้อีกด้วยตามสถานีชั้นต่างๆ ที่เราผ่านก่อนจะไปถึงยอดเขา เป็นของที่ระลึกสำหรับนำกลับบ้านที่ได้รับความนิยม

มารยาทในการปีนเขาที่ควรรู้

ห้ามเด็ดต้นไม้หรือดอกไม้

ห้ามเก็บก้อนหินกลับบ้าน

ห้ามตั้งแคมป์บนเขา

ค่าบริการ

ในช่วงฤดูกาลปีนเขา นักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าผ่านทางประมาณ 1,000 เยน ต่อคน ค่าบริการเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลสิ่งแวดล้อมและมาตราการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่มาในแต่ละปี

Altitude Sickness หรือโรคของคนขึ้นที่สูง

ร่างกายคนเราต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับชั้นบรรยากาศบนที่สูง ไม่อย่างนั้นจะเกิดอาการเวียนศีรษะ วิงเวียนและมีอาการคลื่นไส้ได้ มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่เยอะหนักที่เจ็บป่วยจากอาการ Altitude Sickness

เพื่อหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์ คำแนะนำคือให้เดินช้าๆ ดื่มน้ำเยอะ แล้วหยุดพักบ่อยๆ และควรนอนพักค้างแรมที่สถานีชั้นที่ 7 และ 8 แทนที่จะรีบเร่งไปให้ถึงยอดเขา ควรซื้ออ๊อกซิเจนกระป๋องติดตัวมาจากสถานีชั้นที่ 5 หรือตามกระท่อมที่พักต่างๆ วิธีการเหล่านี้ทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์จากอาการ Altitude Sickness ได้

อย่างไรก็ตามวิธีที่จะรักษาอาการนี้คือต้องลงเขาอย่างเดียวเท่านั้น

วิธีการเดินทาง

รถบัสไปยัง Fuji Subaru Line 5th Station

จาก Shinjuku Station (Tokyo):
2,700 yen (เที่ยวเดียว), เวลาเดินทาง 140 นาที
6-10 เที่ยวต่อวันในช่วงฤดูกาลปีนเขา
2 เที่ยวต่อวันสำหรับวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดในช่วงนอกฤดูกาล
Bus Timetable (climbing season)
Bus Timetable (off-season)

จาก Fujisan/Kawaguchiko Station:
1,540 yen (เที่ยวเดียว), 2,100 yen (ไป-กลับ), เวลาเดินทาง 50 นาที
มีรถให้บริการ 1-2 คันต่อชั่วโมงในช่วงฤดูกาลปีนเขา
มีรถให้บริการชั่วโมงละคันในช่วงนอกฤดูกาล
Bus Timetable (climbing season)
Bus Timetable (off-season)
How to get to Kawaguchiko Station

รถบัสไปยัง Subashiri 5th Station

จาก Gotemba Station:
1,540 yen (เที่ยวเดียว), 2,060 yen (ไป-กลับ), เวลาเดินทาง 60 นาที
มีรถให้บริการ 7-11 เที่ยวไปกลับต่อวันในช่วงฤดูกาล
มีรถให้บริการ 3 เที่ยวไปกลับต่อวันช่วงนอกฤดูกาลเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดเท่านั้น
Bus Timetable (climbing season)
Bus Timetable (off-season)

จาก Shin-Matsuda Station:
2,060 yen (เที่ยวเดียว), 3,100 yen (ไปกลับ), เวลาเดินทาง 90 minutes
มีรสให้บริการ 4-6 เที่ยวไปกลับต่อวันในช่วงฤดูกาลปีนเขา

รถบัสไปยัง Gotemba 5th Station

จาก Gotemba Station:
1,110 yen (เที่ยวเดียว), 1,540 yen (ไปกลับ), ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที
มีรถให้บริการ 4-7 เที่ยวไปกลับต่อวันในช่วงฤดูกาลปีนเขา
มีรถให้บริการ 3 เที่ยวไปกลับต่อวันในช่วงนอกฤดูกาลเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดเท่านั้น
Bus Timetable (climbing season)
Bus Timetable (off-season)

รถบัสไปยัง  Fujinomiya 5th Station

จาก Shin-Fuji and Fujinomiya Stations:
2,380 yen (เที่ยวเดียว), 3,100 yen (ไปกลับ), ใช้เวลาเดินทาง 120 นาที ตากสถานี Shin-Fuji Station
2,030 yen (เที่ยวเดียว), 3,100 yen (ไปกลับ), ใช้เวลาเดินทาง 90 นาที จากสถานี Fujinomiya Station
มีรถให้บริการทุกชั่วโมงในช่วงฤดูกาลปีนเขา
มีรถให้บริการ 3 เที่ยวไปกลับต่อวันในช่วงนอกฤดูกาลเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดเท่านั้น
Bus Timetable (climbing season)
Bus Timetable (off-season)
How to get to Fujinomiya

จาก Mishima Station:
2,460 yen (เที่ยวเดียว), 3,100 yen (ไปกลับ), ใช้เวลาเดินทาง 120 นาที
มีรถให้บริการ 1-6 เที่ยวไปกลับต่อวันในช่วงฤดูกาลปีนเขาเท่านั้น
Bus Timetable (climbing season)

การเดินทางโดยรถยนต์

เส้นทางรถยนต์ไปที่ Fuji Subaru Line 5th Station, Subashiri 5th Station และ Fujinomiya 5th Station จะปิดไม่ให้รถผ่านในช่วงฤดูกาลปีนเขา อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บทความของแต่ละสถานีชั้นที่ 5

 

มาโอซาก้าแล้วไม่ได้มาถ่ายรูปกับพี่กูลิโกะถือว่ามาไม่ถึงโอซาก้าทีเดียว เจ้าป้ายไฟกูลิโกะขนาดยักษ์กลายเป็นสัญลักษณ์คู่เมืองโอซาก้าที่โด่งดังไปทั่วโลก เจ้าป้ายนี้อยู่ที่ย่านโดทงโบรินี่แหละค่ะ

การเดินทาง: สถานีรถไฟนัมบะ (Namba Station)

IMG_6376

ที่เคยคิดว่าญี่ปุ่นนั่นช่างเรียบง่าย อะไรๆ ก็ดูมินิมอลลิสต์ เราจะลืมมันสิ้นเมื่อมาที่ย่านโดทงโบริ เพราะที่นี่เป็นย่านที่รวบรวมความ “เยอะ” ของญี่ปุ่นไว้ทั้งหมด ความวุ่นวาย แสงสีและเสียงตะโกนโหวกเหวกขายของรวมอยู่ในย่านบันเทิงแห่งนี้ที่เดียว นี่แหละเสน่ห์ของเมืองโอซาก้าที่ไม่เหมือนใคร

IMG_6343

ประวัติของย่านโดทงโบรินั้นเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1612 เมื่อพ่อค้านามว่า ยุซุอิ โดทง ได้ขุดขยายแม่น้ำเพื่อเพิ่มรายได้จากการค้า ต่อมาพ่อค้าท่านนี้ได้เสียชีวิตลงกลางศึกที่ข้าศึกล้อมเมืองโอซาก้าไว้ หลานชายของเขาได้สานต่อภารกิจขยายคลองและมีการขนานนามชื่อคลองและถนนเลียบคลองตามชื่อของปู่ของเขาที่เป็นคนริเริ่ม จึงกลายมาเป็นชื่อ โดทงโบริ ที่เราใช้เรียกกันในปัจจุบัน แต่เดิมย่านนี้เป็นแหล่งบันเทิงเต็มรูปแบบมีทั้งโรงละครคาบูกิ โรงละครบุนระกะ แต่โรงละครเหล่านี้ถูกทำลายลงจนหมดสิ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ปัจจุบันนี้ย่านโดทงโบริขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งร้านค้า ร้านอาหารและมีร้าปาจิงโกะร้านเกมส์เพื่อความบันเทิงอย่างครบครัน

IMG_6367

สัญลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร นอกจากป้ายไฟกูลิโกะแล้ว ยังเป็นป้ายร้านอาหารแต่ละร้านที่ขยันทำให้ใหญ่โตมโหฬารไม่เหมือนใคร เช่นร้าน ร้านปูยักษ์ Kani Doraku ที่มีชื่อเสียงของย่านโดทงโบริ เดินเข้าไปจะเห็นเด่นมาแต่ไกล ร้านเกี๊ยวซ่าพร้อมป้ายรูปเกี๊ยวซ่าเซ็ตขนาดใหญ่ ร้านทาโกยากิไส้ปลาหมึกไซส์ใหญ่การันตีได้จากเจ้าปลาหมึกยักษ์สีแดงบนป้ายหน้าร้าน หรือร้าน Zubora ที่มีปลาปักเป้ายักษ์ตัวกลมๆ แขวนลอยเด่นอยู่หน้าร้าน

 CrabOsaka18

ที่นี่ยังมีศูนย์รวมร้านอาหารและการแสดงต่างๆ รวมไปถึงกิจกรรมล่องเรือท่องแม่นำ้ทงโบริด้วย

IMG_7294

IMG_6400

 

Umeda Sky Building เป็น อาคารสูงสัญญลักษณ์ของย่าน Shin Umeda City สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1993 เป็นอาคารแฝดคู่ 40 ชั้น โดยมีทางเชื่อมกันได้ที่ชั้น 39 ที่ดัดแปลงเป็นร้านอาหารกลางอากาศ

umeda-mix

ที่อยู่: 〒531-0076 1-1-88 Oyodo-naka,Kita-ku,OsakaCity

TEL : 06-6440-3899 FAX : 06-6440-3876

Website: http://www.kuchu-teien.com/global/

เวลาเปิดปิดให้บริการ:  ตั้งแต่ 10.00-22.30 น. (เข้าได้ช้าสุดไม่เกิน 22.00 น.)

การเดินทาง:

จากสถานี JR Osaka (ทางออก Central North) และ Hankyu Umeda (ทางออก Chayamachi) เดินทางใต้ดินตามป้ายไปที่ Shin Umeda City อาคาร Umeda Sky Buiding จะตั้งอยู่ในบริเวณนี้ ใช้เวลาเดินประมาณ 9 นาที

ค่าผ่านประตู: ผู้ใหญ่ 1000 เยน / เด็กมัธยมต้นและปลาย 700 เยน / เด็กประถม 500 เยน / ผู้สูงอายุ 800 เยน , Free สำหรับผู้ถือบัตร Osaka Amazing Pass

สำหรับใครที่ถือบัตร Osaka Amazing Pass สามารถเข้าได้ฟรี บัตรนี้คุ้มจริงๆ

IMG_6094

จุดที่น่าสนใจของตึกนี้อีกจุดก็คือ ทางขึ้นไปที่ชั้น 39 เป็นบันไดเลื่อนหน้าตาเก๋ๆ เหมือนอุโมงค์ ซึ่งใครเข้าไปก็จะต้องไม่พลาดหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปกันรัวๆ

IMG_6088

อันนี้อุโมงค์ตอนลงครับ

IMG_6093

ชั้น 39 มีที่นั่งชิล ให้ชมวิวหลายจุดอีกทั้งยังมีร้านกาแฟ และร้านอาหารให้แวะพักอีกด้วย ถ้าท่านมาตอนกลางวันก็จะสามารถมองเห็นวิวรอบๆตึก Umeda Sky Building ได้โดยรอบ

IMG_6102 IMG_6105 IMG_6110

แวะหาอะไรดื่มซักนิดก่อนไปต่อ ราคาไม่แพงเท่าไหร่ครับ (เท่าๆ starbuck บ้านเรา)

IMG_6118 IMG_6115

วิวดีจริงๆ นั่งชิลวางแผนเตรียมไปเที่ยวต่อตรงนี้ก็ดีไปอีกแบบ

IMG_6116 IMG_6101 IMG_6111

จิบกาแฟเก๋ๆ ชิลๆ ก่อนไปชมวิวต่อที่ชั้น 40

IMG_6120 IMG_6125

ชั้น 40 มีแกลเลอรี่ และที่ดาดฟ้ามีสวนลอยฟ้า (Floating Garden) สูงจากพื้นดิน 173 เมตร ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเมืองโอซาก้าโดยรอบได้ บรรยากาศสวยงามโรมแมนติกมากโดยเฉพาะยามค่ำคืน

IMG_6133

มีมุมสำหรับถ่ายรูปสำหรับถ่ายรูปคู่ด้วย

IMG_6137

IMG_6141

มองชมวิวสุดลูกหูลูกตา ถ้ามากลางคืนก็จะได้เห็นแสงไฟของตึกต่างๆ โรแมนติคไปอีกแบบ
ตอนขึ้นไปถ่ายนี่ฝนตกแหมะๆครับ ฟ้าหมองๆ เลนส์กล้องเปียกนิดนึงIMG_6131

IMG_6133

IMG_6136

ที่ใต้ดินชั้นหนึ่งยังมี Food Theme Park “Takimikoji” ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นบรรยากาศสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีร้านอาหารหลากหลายประเภทคอยให้บริการ

IMG_6148
มีร้านอาหารอยู่มากมายให้เลือก แต่บรรยากาศออกจะเหงาๆหน่อย

จบแล้วครับสำหรับตึก อูเมดะ สกายบิวดิ้ง (Umeda Sky Building) ใครที่มาเที่ยวโอซาก้าไม่ควรพลาดมาเยี่ยมชมตึกนี้นะครับ

ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)

ถานที่เที่ยวยอดฮิตของเมือง และเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองอีกด้วย ความเก่าแก่นั้นย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ. 1583 ทีเดียว ตัวปราสาทจะถูกล้อมด้วยสวนซากุระสวยงามมากโดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิ อ่านต่อ

IMG_6471

ย่านโดทงโบริ (Dotonbori)

หากคุ้นตากับป้ายไฟกูลิโกะ สัญลักษณ์อีกอย่างที่อยู่คู่โอซาก้ามาช้านาน ต้องไม่ลืมแวะมาที่นี่ นับเป็นแหล่งบังเทิงและย่านกลางเมืองของโอซาก้า
มีร้านอาหารและร้านค้ามากมาย

IMG_6005

วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple)

วัดพุทธแห่งแรกที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ตัวตึกแม้จะได้รับการสร้างใหม่ แต่ของเดิมสร้างไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 593 อ่านต่อ

IMG_6198

ศาลเจ้าสุมิโยชิไทชะ (Sumiyoshi Taisha)

เป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่มีสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวสวยงามมาก

Sumiyoshi Taisha

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูกัง (Osaka Aquarium Kaiyukan)

เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นและทวีปเอเชีย มีบ่อน้ำความจุขนาด 5400 ตัน ลึก 9 เมตร และมีสัตว์น้ำน่าสนใจขนาดใหญ่มากมาย

amazingaquariumsmosakajapan

ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอโอซาก้า (Universal Studios Japan)

ไฮไลท์ของยูนิเวอร์แซลสูตดิโอโอซาก้าคือโซน Harry Potter อันโด่งดัง ที่สาวกไม่ควรพลาดเด็ดขาด

universal

ตึกอูเมดะสกาย (Umeda Sky Building, Floating Garden Observatory)

ตึกที่ไฮเทคที่สุดในโอซาก้า  มีความสูงถึง 173 เมตร เป็นจุดชมวิวที่โด่งดังที่สุด อ่านต่อ

IMG_6070

ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ HEP Five (HEP FIVE Ferris Wheel)

ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 75 เมตร ที่ตั้งเด่นบนตึก HEP FIVE เป็นสัญลักษณ์อีกแห่งที่มองเห็นได้แต่ไกลและไม่ควรพลาดที่จะไปเยือน อ่านต่อ

IMG_6657

ย่านอาเมมูระ (Ame-Mura)

อเมริกันทาว์นสไตล์ญี่ปุ่น เป็นแหล่งช็อปปิ้งวัยรุ่นสุดฮิฟ

osaka-Amerika-Mura

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โอซาก้า (Osaka Museum of History)

พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยที่สำคัญและบอกเล่าเรื่องราวประวัติของเมืองตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน
ตัวพิพิธภัณฑ์สร้างอยู่บนโครงสร้างพระราชวังเดิม  อ่านต่อ

IMG_6599

Imperial Palace East Gardens ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยงเข้าชมได้ฟรีตลอดทั้งปี (ยกเว้นวันจันทร์, วันศุกร์, และตามประกาศของรางวัง) เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นที่จัดไว้อย่างสวยงาม และเป็นสถานที่ตั้งดั่งเดิมของปราสาทเอโดะ นักท่องเที่ยวยังสามารถเห็นซากรากฐานของตัวปราสาทเดิมได้

วันไหนอากาศดีสวนนี้จะมีพนักงานออฟฟิสมาเดินเล่น และนั่งเล่นทานอาหารกลางวันกันพร้อมกับผ่อนคลายจากงานระหว่างวันด้วยการชมดอกไม้สวยๆ และบรรยากาศสดชื่นของสวนสีเขียวและทะเลสาบใส

อ่านวิธีเดินทางไป Imperial Palace ได้ที่นี่

A_IMG_2382 A_IMG_2383 A_IMG_2385 A_IMG_2391 A_IMG_2394 A_IMG_2395 A_IMG_2396 A_IMG_2397 A_IMG_2398 A_IMG_2399

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 01

พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace) เป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิญี่ปุ่นตลอดจนราชวงศ์อิมพีเรียล พระราชวังองค์ปัจจุบันนั้นตั้งอยู่บนที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทเอโดะมาก่อนซึ่งในสมัยนั้นครองโดยโชกุนโตกุกาวะ (Tokugawa Shogunate) ผู้ที่ปกครองญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ.1603-1867 จนภายหลังนั้นระบบโชกุนได้ถูกล้มล้างอำนาจจนล่มสลายลงเพื่อเปลี่ยนระบบการปกครองใหม่ ราชวงศ์อิมพีเรียลจึงได้ย้ายจากเกียวโตมาประทับที่โตเกียวแทนในปี ค.ศ.1868 โดยได้สร้างพระราชวังใหม่ขึ้นบนพื้นที่นี้และแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1888

Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 04

พื้นที่ขนาดใหญ่นั้นรายรอบไปด้วยคูน้ำอันกว้างขวาง ป้องกันด้วยปราการกำแพงหินอันสูงชันและแข็งแกร่ง ภายในบริเวณพระราชวังนั้นไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าไปชม เว้นแต่ในวันที่ 2 มกราคม วาระของวันขึ้นปีใหม่ และวันที่ 23 ธันวาคม อันเป็นวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีเพียงสองวันนี้เท่านั้นที่จะเปิดให้ประชาชนเข้าไปด้านในเพื่อชื่นชมพระบารมีของพระจักรพรรดิและเหล่าราชวงศ์ที่จะทรงออกมาทักทายประชาชนของพระองค์อันถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกปี

จุดยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวนั้นเห็นจะเป็นบริเวณโซนด้านหน้าพระราชวังที่เรียกว่านิจูบาชิ (Nijubashi) ซึ่งแปลว่า Double Bridge หรือ สะพานคู่ ซึ่งบริเวณนี้จะมีสะพานเหล็กที่อยู่ด้านหลังเพื่อเชื่อมเข้าเขตพระราชวัง และสะพานหินที่อยู่ด้านหน้าเพื่อเชื่อมต่อสู่สะพานเหล็ก (ที่มักปรากฏในรูปถ่ายนั่นเอง) ซึ่งสะพานด้านหน้านี้มักนิยมเรียกกันว่าเมกะเนะบาชิ (Meganebashi) หรือแปลความหมายได้ว่าสะพานแว่นตา ซึ่งมาจากภาพสะท้อนน้ำของโค้งหินสองอันนั่นเอง

Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 02

อีกบริเวณหนึ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือ Imperial Palace East Gardens ที่อยู่โซนด้านหลังพระราชวังซึ่งตรงจุดนี้จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมพระราชฐานด้านในได้ตลอดทั้งปี (ยกเว้นวันจันทร์, วันศุกร์, และตามประกาศของรางวัง) ด้านในนั้นจะมีการจัดสวนในสไตล์ญี่ปุ่นไว้อย่างงดงาม ซึ่งความจริงแล้วบริเวณนี้ก็คือสถานที่ตั้งดั้งเดิมของปราสาทเอโดะนั่นเอง และบริเวณนี้เรายังสามารถเห็นซากรากฐานดั้งเดิมของปราสาทเอโดะที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ซึ่งปราสาทแห่งนี้เดิมสร้างขึ้นเมื่อราว ปี ค.ศ.1638 และเคยเป็นปราสาทที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย แต่ภายหลังจากนั้นไม่กี่ปีมันก็ถูกไฟไหม้อันเนื่องมาจากเหตุอัคคีภัยเผาเมืองครั้งใหญ่ในราวปี ค.ศ.1657 และหลังจากนั้นปราสาทแห่งนี้ก็ไม่เคยถูกสร้างขึ้นใหม่อีกเลย คงหลงเหลือแต่รากฐานไว้ให้ดูต่างหน้าซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเราได้เห็นรากฐานนี้ก็สามารถที่จะจินตนาการความยิ่งใหญ่ในอดีตได้ไม่ยากเช่นกัน อ่านรีวิวพาเที่ยวสวน Imperial Palace East Gardens ได้ที่นี่

 Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 03

พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace)

ที่ตั้ง : เขตชิโยดะ, โตเกียว

เปิด-ปิด : จุดชมสะพานตลอด 24 ชม. / สวน Imperial Palace East Gardens > 09.00-16.00 น. (เวลาโดยเฉลี่ย / โปรเช็คเวลาละเอียดในแต่ละเดือนอีกครั้ง), หยุดวันจันทร์ และศุกร์

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย M-Marunouchi Line (สีแดง) ลงสถานี M17-Tokyo ทางออก 6, D2 (Exit 6, D2)

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา),สาย C-Chiyoda Line ลงสถานี H7/C9-Hibiya ทางออก B6 (Exit B6)

>วิธีที่ 3 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย C-Chiyoda Line (สีเขียว) ลงสถานี C10-Nijubashimae ทางออก 2, B6 (Exit 2, B6)

>วิธีที่ 4 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย I-Mita Line (สีน้ำเงิน) ลงสถานี I08-Hibiya ทางออก B6 (Exit B6)

>วิธีที่ 5 : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลม-สีเขียว), Keihin-Tohoku Line (สีฟ้า) ลงสถานี Tokyo ทางออก Marunouchi Central Exit