Ad
Ad
Ad
Author

swagen

Browsing

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_16 Shibuya Overall 03

ชิบูย่า (Shibuya) นั้นได้รับฉายาว่าเป็น Shopping District แห่งโตเกียว และของญี่ปุ่น ที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี นอกจากนี้ก็ยังเป็นแหล่งรวมของความบันเทิงหลากหลายชนิด, แฟชั่นเก๋ๆ ใหม่ๆ ที่อัพเดทตลอดเวลา, คาเฟ่เก๋ๆ ที่ชวนแฮงค์เอาท์อย่างยิ่ง, ไปจนถึงร้านอาหารอร่อยๆ ที่แทรกตัวอยู่มากมาย

Tokyo_16 Shibuya Overall 02

Tokyo_16 Shibuya Overall 01

แต่แน่นอนว่ากิจกรรมหลักของผู้คนที่มุ่งมาย่านนี้ก็คือซอกแซกตามซอกซอยและเข้าห้างต่างๆ เพื่อช้อปปิ้งอย่างจุใจ แหล่งช้อปปิ้งแรกที่เป็นขวัญใจสาวๆ ทุกยุคทุกสมัยแล้วก็ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของย่านนี้นั่นก็คือ Shibuya 109 (www.shibuya109.jp) ที่ตลอดทั้งตึกนั้นเต็มไปด้วยร้านรวงเก๋ๆ ขวัญใจสาวนักช้อปมากมาย ปัจจุบันมีตึกสำหรับผู้ชาย 109 Men (www.109mens.jp) ที่มีของเท่ๆ เก๋ๆ เฉพาะสุภาพบุรุษให้ช้อปกันด้วย, ตึกต่อมานั้นเป็นตึกสารพัดของใช้อย่าง Tokyu Hands (shibuya.tokyu-hands.co.jp) ที่ถือว่าเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดและมีของสาระพัดรูปแบบให้เลือกมากที่สุดตั้งแต่แฟชั่นยันของใช้เลยทีเดียว, อีกตึกที่ดูจะมีแต่แบรนด์เก๋ๆ ร้านเท่ๆ ที่ให้ช้อปได้ทั้งชายหญิงก็คือ PARCO (shibuya.parco.jp) ที่นอกจะจะแต่งห้างให้น่าเดินแล้ว ร้านต่างๆ ยังมีของให้ช้อปที่คัดสรรมาเป็นพิเศษอีกด้วย โดยเฉพาะแบรนด์ดังหลายๆ ร้านที่ไม่เหมือนที่ไหน, นอกจากนี้ก็ยังมี Loft (www.loft.co.jp/shoplist/shibuya) สาขาชิบูย่าที่เต็มไปด้วยของเก๋ๆ มากมาย, หรือ Francfranc (www.francfranc.com) ที่ขายของคล้ายๆ Loft ที่เรียบง่ายแต่มีสีสัน เน้นการใช้งานมากกว่าแฟชั่น, นอกจากนั้นก็แนะนำให้ซอกแซกซอกซอนตามซอยและตามถนนที่จะเต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์ดังมากมาย อาทิ Uniqlo, United Arrow, Batting Ape, Journal Stand ไปจนกระทั่งร้านรองเท้ายอดนิยมอย่าง ABC นั่นเอง

Tokyo_16 Shibuya Overall 04

สีสันของชิบูย่านั้นไม่เคยหลับใหล นี่จึงเป็นแหล่งเอ็นเตอร์เทนของโลกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะด้านเสียงเพลงซึ่งที่นี่เป็นที่ตั้งของ Entertainment Complex หลายเจ้า ตั้งแต่เจ้าตลาดชื่อดังอย่าง Tower Record ที่มีตึกจำหน่าย Music Lifestyle เป็นของตัวเอง, หรือแม้แต่ตึก HMV Shibuya อาณาจักรเพลงทั่วโลกอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ประจำย่าน, ไปจนถึงตึกโด่งดังอย่าง Q-FRONT ที่เป็นฐานที่มั่นของ TSUTAYA แถมยังเป็นที่ตั้งของ Starbucks สาขายอดฮิตที่เราสามารถเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของสี่แยกที่วุ่นวายที่สุดในโลกได้อย่างสุขใจ

Tokyo_16 Shibuya Overall 05

พูดถึงสี่แยกที่วุ่นวายที่สุดในโลกนั้นก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมที่ใครๆ ก็ต้องแวะมา ซึ่งแยกที่ว่านี้ก็คือ Hachiko Square ที่มีผู้คนพลุกพล่านข้ามถนนกันแทบจะ 24 ชม. เลยทีเดียว แล้วพระเอกแห่งแยกนี้ก็หนีไม่พ้นรูปปั้นของ Hachiko สุนัขผู้ซื่อสัตย์อันโด่งดังของโลกซึ่งมีคนแวะเวียนมาถ่ายรูปคู่กับมันมากมาย และสำหรับพระเอกคนล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อปี ค.ศ.2012 นั้นก็คือตึก Shibuya Hikarie ที่อยู่อีกฝั่งของความพลุกพล่าน ภายในเต็มไปด้วยร้านค้าเก๋ๆ เท่ๆ มากมายไม่แพ้ตัวตึกที่ดูสวยล้ำสมัย และตึกนี้เองคือตึกแรกที่เสร็จสมบูรณ์อันเป็นโฉมของภาพลักษณ์ใหม่แห่ง Shibuya Station ที่โตเกียวมีแผนจะปรับโฉมสถานีรถไฟและสิ่งแวดล้อมโดยรอบใหม่ (รวมไปถึงผุดตึกสำนักงานและแหล่งช้อปปิ้งล้ำๆ อีกหลายตึก) ที่คาดว่าหน้าตาของชิบูยาโฉมใหม่อันล้ำสมัยจะเสร็จราวๆ ปี 2020 เพื่อต้อนรับโอลิมปิก 2020 ที่โตเกียวเป็นเจ้าภาพนั่นเอง

Tokyo_16 Shibuya Overall 07

Tokyo_16 Shibuya Overall 06

 

ชิบูยา (Shibuya)

ที่ตั้ง : เขตชิบูยา, โตเกียว

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line (สีเหลือทอง), สาย F-Fukutoshin Line (สีน้ำตาลแดง), สาย Z-Hanzomon Line (สีม่วง) ลงสถานี G01/F16/Z01-Shibuya

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลม-สีเขียว) ลงสถานี Shibuya

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟ Tokyu Line สาย Tokyu Den-en-toshi Line (DT), สาย Tokyo Toyoko Line (TY) ลงสถานี Shibuya (ต้นสาย)

 

หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกคลิกที่นี่

ชอบกด Like ใช่กด Share ^-^

เรื่องและภาพโดย สวาเก้น

Tokyo_15 Ginza Overall 01

ย่านกินซ่า กลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นั้นถูกบันทึกไว้ว่าเป็นหนึ่งในแหล่งช้อปปิ้งอันหรูหรามีระดับมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (one of the most luxurious shopping districts in the world) บริเวณโดยรอบย่านนั้นประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ชื่อดัง (และไฮด์เอ็น) มากมาย แถมยังเป็นที่ตั้งของ Brand Name Shop & Flagship Store ของสินค้าพรีเมี่ยมระดับโลกอีกมากมาย แล้วก็ยังมีคาเฟ่เก๋ๆ ไปจนถึงคาเฟ่หรูหรา ตลอดจนร้านอาหารอร่อยๆ ในแบบฉบับญี่ปุ่นดั้งเดิมแท้ๆ ซ่อนตัวอยู่ในย่านนี้อีกมากมายด้วย

Tokyo_15 Ginza Overall 02 Tokyo_15 Ginza Overall 03 Tokyo_15 Ginza Overall 04

แหล่งช้อปปิ้งห้างดังเลื่องชื่อนั้นอันดับแรกเห็นจะเป็น Matsuya (www.matsuya.com/foreigner/en) สาขากินซ่าที่โดดเด่นด้วยตัวตึกที่มีกระจกล้อมรอบอันทันสมัยและเป็นหนึ่งในอาคารที่สะท้อนถึงย่านกินซ่าซึ่งปรากฏในภาพถ่ายทั่วโลก แถมยังเป็นสถานที่ที่คนนิยมมาถ่ายรูปในย่านกินซ่ามากที่สุดอีกด้วย ภายในห้างนั้นมีสินค้าคุณภาพสูงที่คัดสรรเป็นพิเศษมากมายเพื่อจับกลุ่มลูกค้าในตลาดบนโดยเฉพาะ, ตึกต่อมาที่ดังไม่แพ้กันก็คือ Ginza Wako (www.wako.co.jp) ที่ตั้งอยู่บนหัวถนนของสี่แยกกินซ่า ซึ่งจุดเด่นของอาคารนี้ก็คือความเก่าแก่คลาสสิกแบบห้างสไตล์ยุโรปที่มีเอกลักษณ์อยู่ตรงนาฬิกาด้านบน ห้างอันเก่าแก่นี้ยังคงอนุรักษ์ตึกไว้อย่างดีเยี่ยม แต่ภายในนั้นมีสินค้าระดับพรีเมี่ยมให้เลือกหลากหลายแบรนด์เช่นกัน แล้วตึกนี้ก็เป็นหนึ่งสัญลักษณ์แห่งกินซ่าที่ปรากฏไปทั่วโลกและมีคนนิยมมาถ่ายรูปไม่แพ้กันอีกด้วย

 

Tokyo_15 Ginza Overall 05 Tokyo_15 Ginza Overall 06

อีกห้างดังของย่านนี้ก็คือ Mitsukoshi (www.mitsukoshi.co.jp) ห้างเก่าแก่ประจำย่านที่มีสินค้าไฮด์เอ็นด์จำหน่ายมากมาย, แต่ถ้าหากเดินออกมาหน่อยก็จะพบอีกห้างที่ก็ขึ้นชื่ออย่าง Printemps (www.printemps-ginza.co.jp) ที่ไม่ได้เน้นตลาดไฮด์เอ็นด์นักแต่เน้นความเก๋เสียมากกว่า และที่นี่เองก็คือที่ตั้งของ Uniqlo Marche (www.uniqlo.com/marche) ที่ตั้งอยู่บนชั้น 6-7 ซึ่งถือเป็นร้านขายเสื้อผ้าแบบ multi-brand ร้านแรกในไลน์ Uniqlo ที่มีตั้งแต่แบรนด์ Uniqlo, GU, PLST, Comptoir des Cotonniers และ Princesse Tam Tam อ้อ! แล้วก็ต้องขอบอกว่า Uniqlo Marche นั้นเป็นแหล่งช้อปปิ้งของสาวๆ โดยเฉพาะ เพราะ 90% เป็นสิ้นค้าผู้หญิง

Tokyo_15 Ginza Overall 07

นอกจากนี้ที่นี่ก็ยังเป็นแหล่งรวบรวมช้อปของแบรนด์ดังมากมายตั้งแต่ Swarovski, Prada, Louis Vuitton, Chanel, Cartier, หรือตึกสุดเซ็กซี่อย่าง Abercrombie & Fitch, ร้าน Apple อันโดดเด่น, ไปจนถึง Uniqlo สาขาหลักสาขาใหญ่ที่จำหน่ายเสื้อผ้าที่แบรนด์ภายใต้ Uniqlo อีกด้วย

Tokyo_15 Ginza Overall 08 Tokyo_15 Ginza Overall 09

 

กินซ่า (Ginza)

ที่ตั้ง : เขตชูโอะ, โตเกียว

วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย M-Marunouchi Line (สีแดง), H-Hibiya Line (สีเทา), G-Ginza Line (สีเหลือง) ลงสถานี M16/H08/G09-Ginza

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 01

พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace) เป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิญี่ปุ่นตลอดจนราชวงศ์อิมพีเรียล พระราชวังองค์ปัจจุบันนั้นตั้งอยู่บนที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทเอโดะมาก่อนซึ่งในสมัยนั้นครองโดยโชกุนโตกุกาวะ (Tokugawa Shogunate) ผู้ที่ปกครองญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ.1603-1867 จนภายหลังนั้นระบบโชกุนได้ถูกล้มล้างอำนาจจนล่มสลายลงเพื่อเปลี่ยนระบบการปกครองใหม่ ราชวงศ์อิมพีเรียลจึงได้ย้ายจากเกียวโตมาประทับที่โตเกียวแทนในปี ค.ศ.1868 โดยได้สร้างพระราชวังใหม่ขึ้นบนพื้นที่นี้และแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1888

Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 04

พื้นที่ขนาดใหญ่นั้นรายรอบไปด้วยคูน้ำอันกว้างขวาง ป้องกันด้วยปราการกำแพงหินอันสูงชันและแข็งแกร่ง ภายในบริเวณพระราชวังนั้นไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าไปชม เว้นแต่ในวันที่ 2 มกราคม วาระของวันขึ้นปีใหม่ และวันที่ 23 ธันวาคม อันเป็นวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีเพียงสองวันนี้เท่านั้นที่จะเปิดให้ประชาชนเข้าไปด้านในเพื่อชื่นชมพระบารมีของพระจักรพรรดิและเหล่าราชวงศ์ที่จะทรงออกมาทักทายประชาชนของพระองค์อันถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกปี

จุดยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวนั้นเห็นจะเป็นบริเวณโซนด้านหน้าพระราชวังที่เรียกว่านิจูบาชิ (Nijubashi) ซึ่งแปลว่า Double Bridge หรือ สะพานคู่ ซึ่งบริเวณนี้จะมีสะพานเหล็กที่อยู่ด้านหลังเพื่อเชื่อมเข้าเขตพระราชวัง และสะพานหินที่อยู่ด้านหน้าเพื่อเชื่อมต่อสู่สะพานเหล็ก (ที่มักปรากฏในรูปถ่ายนั่นเอง) ซึ่งสะพานด้านหน้านี้มักนิยมเรียกกันว่าเมกะเนะบาชิ (Meganebashi) หรือแปลความหมายได้ว่าสะพานแว่นตา ซึ่งมาจากภาพสะท้อนน้ำของโค้งหินสองอันนั่นเอง

Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 02

อีกบริเวณหนึ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือ Imperial Palace East Gardens ที่อยู่โซนด้านหลังพระราชวังซึ่งตรงจุดนี้จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมพระราชฐานด้านในได้ตลอดทั้งปี (ยกเว้นวันจันทร์, วันศุกร์, และตามประกาศของรางวัง) ด้านในนั้นจะมีการจัดสวนในสไตล์ญี่ปุ่นไว้อย่างงดงาม ซึ่งความจริงแล้วบริเวณนี้ก็คือสถานที่ตั้งดั้งเดิมของปราสาทเอโดะนั่นเอง และบริเวณนี้เรายังสามารถเห็นซากรากฐานดั้งเดิมของปราสาทเอโดะที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ซึ่งปราสาทแห่งนี้เดิมสร้างขึ้นเมื่อราว ปี ค.ศ.1638 และเคยเป็นปราสาทที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย แต่ภายหลังจากนั้นไม่กี่ปีมันก็ถูกไฟไหม้อันเนื่องมาจากเหตุอัคคีภัยเผาเมืองครั้งใหญ่ในราวปี ค.ศ.1657 และหลังจากนั้นปราสาทแห่งนี้ก็ไม่เคยถูกสร้างขึ้นใหม่อีกเลย คงหลงเหลือแต่รากฐานไว้ให้ดูต่างหน้าซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเราได้เห็นรากฐานนี้ก็สามารถที่จะจินตนาการความยิ่งใหญ่ในอดีตได้ไม่ยากเช่นกัน อ่านรีวิวพาเที่ยวสวน Imperial Palace East Gardens ได้ที่นี่

 Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 03

พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace)

ที่ตั้ง : เขตชิโยดะ, โตเกียว

เปิด-ปิด : จุดชมสะพานตลอด 24 ชม. / สวน Imperial Palace East Gardens > 09.00-16.00 น. (เวลาโดยเฉลี่ย / โปรเช็คเวลาละเอียดในแต่ละเดือนอีกครั้ง), หยุดวันจันทร์ และศุกร์

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย M-Marunouchi Line (สีแดง) ลงสถานี M17-Tokyo ทางออก 6, D2 (Exit 6, D2)

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา),สาย C-Chiyoda Line ลงสถานี H7/C9-Hibiya ทางออก B6 (Exit B6)

>วิธีที่ 3 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย C-Chiyoda Line (สีเขียว) ลงสถานี C10-Nijubashimae ทางออก 2, B6 (Exit 2, B6)

>วิธีที่ 4 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย I-Mita Line (สีน้ำเงิน) ลงสถานี I08-Hibiya ทางออก B6 (Exit B6)

>วิธีที่ 5 : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลม-สีเขียว), Keihin-Tohoku Line (สีฟ้า) ลงสถานี Tokyo ทางออก Marunouchi Central Exit

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_13 Tokyo Tower 02

ถึงแม้ว่าปัจจุบันหอคอยน้องใหม่อย่างโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) จะมารับหน้าที่แทนหอคอยโตเกียวในหลายๆ บทบาทไปจนถึงการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งใหม่ที่ใครๆ ก็อยากมาเยือน แถมชิงตำแหน่งหอคอยที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นไปครองแทน แต่หอคอยโตเกียวนั้นก็ไม่จางหายไปจากใจคนญี่ปุ่น ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตเช่นเคย แล้วก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์อมตะแห่งการสร้างชาติให้รุ่งเรืองที่ยังอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม

Tokyo_13 Tokyo Tower 03

หอคอยโตเกียวนั้นสร้างเสร็จเมื่อราวปี ค.ศ.1958 เป็นหอคอยเหล็กกล้าที่มีความสูงกว่า 333 เมตร ซึ่งนั่นเป็นความตั้งใจที่จะสร้างหอคอยให้สูงและยิ่งใหญ่กว่าหอไอเฟลที่เป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบของการสร้างหอคอยแห่งนี้ นั่นยังไม่รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในการก่อสร้างด้านต่างๆ รวมไปถึงวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่คิดค้นขึ้นเป็นพิเศษ ที่นอกจากจะทำให้สร้างหอคอยได้อย่างรวดเร็วกว่าหอไอเฟลแล้ว น้ำหนักโดยรวมของโครงเหล็กมหึมานี้ยังเบากว่าหอไอเฟลอีกด้วย เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อการต้องการประกาศศักยภาพของประเทศญี่ปุ่นบนเวทีโลกให้โลกได้รับรู้ว่าญี่ปุ่นก็ไม่เป็นรองชาติตะวันตกใดๆ เช่นกัน และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งศูนย์รวมจิตใจของการสร้างชาติ ฟื้นฟูพัฒนาประเทศครั้งสำคัญภายหลังจากที่ญี่ปุ่นถูกทำลายจากสงครามโลกครั้งที่สองจนย่อยยับนั่นเอง

Tokyo_13 Tokyo Tower 01

ภายหลังจากที่หอคอยโตเกียวสร้างเสร็จ มันกลายเป็นโครงสร้างที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นและในเอเชียในขณะนั้นเลยทีเดียว หน้าที่หลักของหอคอยแห่งนี้ก็คือการเป็นหอคอยสื่อสารที่ใช้ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ต่างๆ มากมาย อาทิ NHK, FUJI TV, TBS เป็นต้น แล้วมันก็ยังทำหน้าที่ต้อนรับแขกด้วยการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้คนจากทั่วโลกแวะมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย โดยด้านบนหอคอยนั้นเปิดให้เราขึ้นไปเยี่ยมชมได้ 2 ระดับ ระดับแรกคือชั้นชมวิวหลัก (Main Observatory) ที่ระดับความสูง 250 เมตร ชั้นนี้เราสามารถเดินชมวิวโตเกียวจากมุมสูงได้รอบหอคอยแบบ 360 องศา

Tokyo_13 Tokyo Tower 05

Tokyo_13 Tokyo Tower 06

นอกจากนั้นก็ยังมีคาเฟ่เล็กๆ สไตล์ฝรั่งเศสอย่าง Café la Tour และ Club 333 เวทีดนตรีชิลๆ ยามค่ำ ตลอดจนร้านขายของที่ระลึกให้เราช้อปของฝากจากโตเกียวติดไม้ติดมือกลับบ้านได้อีกด้วย แต่ถ้าใครอยากชมวิวในมุมที่สูงขึ้นไปอีกก็สามารถซื้อตั๋วขึ้นไปยังจุดชมวิวชั้นพิเศษ (Special Observatory) ที่ระดับ 250 เมตร ได้ซึ่งจุดชมวิวด้านบนนั้นสามารถเดินชมวิวเมืองในมุมสูงได้แบบ 360 องศาเช่นกัน และถูกยกย่องว่าเป็นจุดชมวิวเมืองโตเกียวที่สวยที่สุดอีกด้วย

Tokyo_13 Tokyo Tower 04

หอคอยโตเกียว (Tokyo Tower)

ที่ตั้ง : เขตมินาโต๊ะ, โตเกียว

เปิด-ปิด : ทุกวัน ชั้น Main Observatory (150 เมตร) 09.00-22.00 น. / ชั้น Special Observatory (250 เมตร) 09.00-21.30 น.

ค่าบริการ :

>ชั้น Main Observatory (150 เมตร) : ผู้ใหญ่ 820 เยน / เด็กประถม-มัธยมต้น 460 เยน / เด็กเล็ก (4 ขวบขึ้นไป) 310 เยน

>ชั้น Special Observatory (250 เมตร) : ผู้ใหญ่ 600 เยน / เด็กประถม-มัธยมต้น 400 เยน / เด็กเล็ก (4 ขวบขึ้นไป) 350 เยน

หมายเหตุ 1 : หากไม่ซื้อตั๋วรวมทั้งสองชั้นตั้งแต่ตอนแรก สามารถซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปยังชั้น Special Observatory ได้ที่ชั้น Main Observatory   

เรื่องและภาพโดย สวาเก้น

อะกิฮาบาระ (Akihabara) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าอะกิบะ (Akiba) นั้น เป็นย่านที่เต็มไปด้วยร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าตลอดจนเทคโนโลยีอันทันสมัยมากมาย ปัจจุบันย่านนี้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งคอมพิวเตอร์, กล้องถ่ายรูป, เกมส์, อนิเมชั่น, ฟิกเกอร์ โมเดล (หุ่นประกอบ), การ์ตูน ตลอดจนเป็นสวรรค์ของเหล่าบรรดาโอตาคุทั้งหลายอีกด้วย

Tokyo_12 Akihabara 01

สำหรับห้างชื่อดังยอดนิยมที่สุดของย่านนี้เห็นจะเป็น Yodobashi (www.yodobashi-akiba.com) ที่มีสินค้าจำหน่ายครบภายในตึกเดียว ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าล้ำๆ, กล้อง, เครื่องเสียง, เกมส์, ของเล่น, โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์เสริมต่างๆ, ไปจนถึงเครื่องสำอางสำหรับสาวๆ ซึ่ง Yodobashi ที่อะกิฮาบาระนี้มีถึง 8 ชั้น ให้ช้อปกันอย่างจุใจ และเป็นเสมือนแลนด์มาร์กของย่านไปในตัวด้วย ที่สำคัญหนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของที่นี่ก็คือคนไทยนี่เองซึ่งเสียงประชาสัมพันธ์ภายในห้างนั้นยังมีเวอร์ชั่นภาษาไทยอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีร้านดังๆ มากมายซึ่งบางร้านยังขายสินค้าปลอดภาษีอีกด้วย ร้านดังในย่านนี้ก็ได้แก่ Laox (www.laox.co.jp), sofmap (www.sofmap.com), เป็นต้น แต่สำหรับเหล่าโอตาคุบรรดาร้านรวงที่เกียวกับอนิเมชั่นและการ์ตูนต่างๆ นั้นดูจะเป็นเหมือนแหล่งแฮงค์เอาท์ของพวกเขาเป็นอย่างดีทีเดียว อาทิ Radio Kaikan (www.radiokaikan.jp) ตึก 9 ชั้นที่เต็มไปด้วยฟิกเกอร์การ์ตูนมากมาย, Kotobukiya (main.kotobukiya.co.jp) ร้านจำหน่ายฟิกเกอร์และสารพัดข้าวของจากการ์ตูนชื่อดัง, Tokyo Anime Center (www.animecenter.jp) ศูนย์กลางของอนิเมะญี่ปุ่นที่มีเรื่องราวใหม่ๆ มา update เสมอๆ, animate (www.animate.co.jp) จำหน่ายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกียวกับอนิเมะ เป็นต้น

สำหรับสาวกกันดั้มที่นี่ก็ยังมี Gundum Café (g-cafe.jp) คาเฟ่เก๋ๆ และกาแฟคุณภาพเยี่ยมที่แต่งหน้าฟองนมด้วยสัญลักษณ์กันดั้ม, อีกสาวกที่มีอะกิฮาบาระเป็นฐานทัพก็คือเหล่าแฟนคลับของ AKB48 ซึ่งที่นี่เป็นที่ตั้งของ AKB48 Café & Shop (akb48cafeshops.com/akihabara) ให้บรรดาแฟนคลับทั้งหลายได้แฮงค์เอาท์กันอีกด้วยGundam Cafe6

อะกิฮาบาระ (Akihabara)

ที่ตั้ง : ย่านอะกิฮาบาระ, เขตชิโยดะ, โตเกียว

เปิด-ปิด : ทุกวัน 10.00-22.00 น. (เวลาโดยเฉลี่ย / เวลาปิดเปิดที่แน่นอนขึ้นอยู่กับแต่ละร้านค้าอีกที)

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟ JR Line สายวงกลม Yamanote Line (สีเขียว), สาย Keihin-Tohoku Line (สายสีฟ้า) ลงสถานี Akihabara

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี H15-Akihabara

 

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_11 Sendagi 01

วันนี้จะมาแนะนำ แหล่งเดินเที่ยว ดูวิถีชีวิตชุมชนชาวญี่ปุ่น ช้อปปิ้งและถ่ายรูปเก๋ๆ อีกแห่งในโตเกียว นั่นคือ “ย่านเซ็นดากิ (Sendagi)” 

ย่านเซ็นดากิ ถือเป็นหนึ่งในย่านเมืองเก่าเมืองเก๋ที่เรียกกันเป็นชื่อเล่นๆ ว่า Yanasen ซึ่งเป็นชื่อรวมกันของ 3 ย่านดังที่อยู่ภายในบริเวณติดๆ กันอันได้แก่ยานากะ (Yanaka), เนซุ (Nezu) และเซ็นดากิ (Sendagi)

Tokyo_11 Sendagi 03

สามย่านนี้อยู่ติดกับย่านดังอย่าง “อุเอโนะ” เพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง

สำหรับเอกลักษณ์อันมีชื่อเสียงของย่านนั้นก็คือการเป็นย่านเมืองเก่า ที่รอดพ้นจากการทำลายจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฉะนั้นบ้านเรือนชุมชนเก่าแก่ในบริเวณนี้ยังมีอยู่มากมายที่เป็นตึกเก่าแก่ดั้งเดิมในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองที่ยังคงยืนหยัดอยู่จนถึงปัจจุบัน

Tokyo_11 Sendagi 04 Tokyo_11 Sendagi 05
แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของย่านเซ็นดากินั้นก็คือ Yanaka Ginza ซึ่งเป็นถนนสายเล็กๆ ที่มีโลเคชั่นสวยเก๋น่าเดิน บริเวณนี้เต็มไปด้วยร้านรวงเก๋ๆ มากมายตั้งแต่ร้านขายของจุกจิกน่ารัก, ร้านขายกระเป๋าแฮนด์เมดชื่อดัง, ร้านขายของทอดสุดอร่อยยอดฮิต, ร้านขายน้ำแข็งใสอันดับต้นๆ ของโตเกียว, ร้านขายของที่ระลึก, ร้านขนมโบราณ เป็นต้น แต่สำหรับจุดถ่ายรูปยอดฮิตที่สวยที่สุดนั้นเห็นจะเป็นบนเนินบันไดซึ่งตรงจุดนี้จะมองมาเห็นป้ายประจำโซนและตรอกซอยยอดฮิตอยู่ด้านล่างนั่นเอง ซึ่งตอนนี้มุมนี้กำลังทยอยปรากฏอยู่ในสื่อหลายๆ สื่ออีกด้วย

Tokyo_11 Sendagi 02

Tokyo_11 Sendagi 08

นอกจากนี้บริเวณโดยรอบยังเต็มไปด้วยบ้านเก่าแก่สวยงาม, พิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก, ร้านค้าแฮนด์เมดเก๋ๆ, คาเฟ่น่านั่งที่ซ่อนตัวอยู่หลายร้าน, ไปจนถึงขนมอร่อยๆ ในแบบโฮมเมดที่หอมกรุ่นทำสดใหม่ตลอดทั้งวัน

Tokyo_11 Sendagi 07

Tokyo_11 Sendagi 06

เซ็นดากิ

ที่ตั้ง : ย่านเซ็นดากิ, เขตบุนเกียว, โตเกียว

เปิด-ปิด : ทุกวัน 10.00-22.00 น. (เวลาโดยเฉลี่ย / การเปิด-ปิดของแต่ละร้านนั้นไม่เหมือนกัน)

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย C-Chiyoda Line (สีเขียว) ลงสถานี C15-Sendagi ทางออก  2 (Exit 2) แล้วเดินตามถนนไปจนถึงร้าน Lawson เสร็จแล้วเดินข้ามถนนเลี้ยวขวาเข้าซอยที่เยื้องตรงข้ามฝั่งกับร้าน Lawson จนถึงสามแยก เสร็จแล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปเรื่อยๆ อีกนิดจนเจอตรอกที่มีป้ายตลาดอยู่ด้านบน

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟ JR Line สายวงกลม Yamanote Line (สีเขียว), สาย Keihin-Tohoku Line (สายสีฟ้า) ลงสถานี Nippori ออกทาง West Exit เสร็จแล้วเดินตามถนนขึ้นเนินไปเรื่อยๆ อีกนิดก็จะเจอกับป้ายโซน Yanaka Ginza

>วิธีที่ 3 : นั่งรถไฟสาย Keisei Line ลงสถานี Keisei-Nippori ออกทางเดียวกับวิธีที่ 2

 

 

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_10 Ameyoko Street Ueno 01 Tokyo_10 Ameyoko Street Ueno 09

อะเมะโยโกะ (Ameyoko) ถนนสายช้อปปิ้งยอดฮิตแห่งย่านอุเอโนะ (Ueno) กลางโตเกียว  นี้ทอดยาวใต้แนวรางรถไฟตั้งแต่สถานี JR Ueno ไปจนถึงสถานี JR Okachimachi ที่อยู่ถัดไป ชื่อถนนสายนี้นั้นเป็นคำย่อที่มาจากคำว่า อะเมะยะ โยโกะโชว (Ameya Yokocho) ที่แปลกว่าตรอกร้านลูกกวาดอเมริกัน ซึ่งคำว่า อะเมะ เป็นคำเรียกที่ย่อมาจาก America แล้วที่เรียกอย่างนี้ก็เพราะว่าบริเวณนี้น่ะเมื่อก่อนเต็มไปด้วยร้านขายลูกวาดตลอดจนข้าวของที่มาจากอเมริกันหลังจากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง

Tokyo_10 Ameyoko Street Ueno 02 Tokyo_10 Ameyoko Street Ueno 05

ปัจจุบันอะเมะโยโกะนั้นเต็มไปด้วยร้านรวงสารพัดชนิดกว่า 400 ร้าน (ที่แทบไม่มีร้านลูกกวาดเหลือให้เห็นเลย) ซึ่งในย่านช้อปปิ้งแห่งนี้จะมีตั้งแต่ตลาดขายของแห้งไปจนถึงของสด, ร้านผลไม้, ร้านของกินอร่อยๆ หลากเมนู, แหล่งช้อปปิ้งแฟชั่นเก๋ๆ ไปจนถึงเสื้อผ้ามาตรฐานสำหรับผู้ใหญ่, ร้านขายเสื้อผ้าตลอดจนอุปกรณ์กีฬาราคาถูก, ร้านขายกระเป๋าตั้งแต่คุณภาพพอทน (สำหรับคนที่อยากได้กระเป๋าเพิ่มสำหรับขนของกลับ) ไปจนถึงกระเป๋าเก๋ๆ, แหล่งขายนาฬิกา, ร้านแบรนด์เนมมือสอง, ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า, ร้านขายขนมของฝาก, ร้านปาจิงโกะ, โรงแรม, ห้างดังอย่าง 0101 (marui), ร้านรองเท้ายอดฮิตอย่าง ABC ที่มีกว่า 5 ร้านในย่านนี้, และอีกสารพัดอย่าง

Tokyo_10 Ameyoko Street Ueno 03 Tokyo_10 Ameyoko Street Ueno 04

อ้อ! แล้วก็ต้องขอบอกว่าใครที่อยากซื้อรองเท้าใส่ล่ะก็นี่เป็นแหล่งซื้อรองเท้าที่ดีที่สุดในโตเกียวเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะมีร้านดังให้เลือกนับสิบร้าน มีแบรนด์รองเท้าดังๆ ครบ มีรุ่นใหม่ล่าสุดเหมือนๆ กับย่านอื่นๆ แล้ว ก็ยังมีร้านค้าย่อยๆ ที่อาจได้รองเท้าในแบบเดียวกันแต่ราคาถูกกว่า ไปจนถึงรองเท้าเก๋ตกรุ่นที่นำมาลดราคากันแบบถูกสุดๆ นั่นยังไม่นับรวมร้องเท้ากีฬาแบรนด์ดังต่างๆ ที่ขายในกระบะแบบราคาย่อมเยา และข้อดีที่ว่าแต่ละร้านนั้นอยู่ไม่ไกลกันนักเหมาะอย่างยิ่งที่จะเดินซอกแซกสืบราคาก่อนที่จะตัดสินใจซื้ออีกด้วย

Tokyo_10 Ameyoko Street Ueno 06 Tokyo_10 Ameyoko Street Ueno 07 Tokyo_10 Ameyoko Street Ueno 08

 

Ameyoko

ที่ตั้ง : สถานี JR Ueno ไปจนถึงสถานี JR Okachimachi, ย่านอุเอโนะ, เขตไทโตะ, โตเกียว

เปิด-ปิด : ทุกวัน 10.00-22.00 น. (เวลาโดยเฉลี่ย / การเปิดปิดขึ้นอยู่กับแต่ละร้านค้า / ร้านอาหาร, ร้านเกม, ร้านค้าบางประเภท อาจปิดดึกมากหรือเปิดตลอด 24 ชม.)

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟ JR Line สายวงกลม Yamanote Line (สีเขียว), สาย Keihin-Tohoku Line (สายสีฟ้า) ลงสถานี Ueno หรือ Okachimachi / สำหรับสถานี Ueno ออกทาง Central Gate, สถานี Okachimachi ออกทาง North Exit

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line (สีส้ม), H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี G16/H17-Ueno ทางออก 5a, 5b, 6 (Exit 5a, 5b, 6)

>วิธีที่ 3 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู) ลงสถานี E09-Ueno-okachimachi ทางออก A5, A7 (Exit A5, A7)