Ad
Ad
Ad
Tag

เที่ยวโตเกียว

Browsing

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 03

 

โดราเอมอนถือเป็นตัวการ์ตูนอมตะที่คนทุกเพศทุกวัยรู้จักกันเป็นอย่างดีทั่วโลก ซึ่งผู้ที่ให้กำเนิดลายเส้น เรื่องราว และชีวิตชีวาของเจ้าแมวเหมียวตัวกลมสีฟ้านี้ก็คือนักเขียนมือฉมังของญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่างอาจารย์ Fujiko F. Fujio นั่นเอง และสำหรับแฟนโดราเอม่อนไปจนถึงแฟนการ์ตูนของอาจารย์นั้นก็ต้องไปเยือนพิพิธภัณฑ์ FUJIKO F. FUJIO ที่นับว่าเป็นหนึ่งในที่เที่ยวโตเกียวที่ไม่ควรพลาด เพราะนี่คือโลกการ์ตูนอันยิ่งใหญ่ที่เราจะประทับใจไม่รู้ลืมเลยทีเดียว

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 01

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือ Fujiko F. Fujio Museum หรือที่ถูกเรียกกันเป็นชื่อเล่นติดปากว่า Doraemon Museum นั้น ได้หยิบเอานามปากกาของนักเขียนชื่อดังอย่าง ฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะ มาเป็นชื่อพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอันที่จริงแล้วที่นี่ก็คือหอประวัติของอาจารย์ฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะนั่นเอง เพราะเรื่องราวที่จัดแสดงทั้งหมดนั้นไม่มีเพียงแต่เรื่องของโดราเอมอนเท่านั้น แต่ยังมีการ์ตูนอีกหลายๆ เรื่องที่ถือกำเนิดโดยฝีมืออาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะคนนี้

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 02

นอกจากลายเส้นต้นฉบับหลายๆ เรื่องที่แทรกการเล่าที่ไปที่มาได้อย่างน่าสนใจแล้วนั้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังสอดแทรกเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของอาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะไว้อย่างน่าทำความรู้จักอีกด้วย หลากหลายมุมนั้นเป็นมุมที่เราไม่เคยรู้ที่ไหนมาก่อน อย่างเช่น ข้าวของเครื่องใช้ที่อาจารย์รัก, หนังสือการ์ตูนวาดมือเล่มแรกในชีวิตที่อาจารย์สร้างสรรค์ขึ้นเองทั้งเล่ม, ต้นฉบับการ์ตูนเรื่องเบนเฮอร์ในแบบฉบับเฉพาะตัวที่ปรมจารย์การ์ตูนระดับโลกอย่าง Osamu Tezuka ถึงกับเอ่ยปากชม (ในขณะนั้นอาจารย์ฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่), ไปจนถึงเรื่องราวของครอบครัวตลอดจนงานอดิเรกที่อาจารย์ชอบอีกด้วย

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 04

พ้นจากโซนนิทรรศการเจ๋งๆ แล้วเราก็จะออกมาพบโซนโลกแห่งความหรรษากันล่ะ (โดยเฉพาะเด็กๆ) เพราะตรงจุดนี้มีเกมส์หลายแบบให้ลองเล่น, มีมุมการ์ตูนโดราเอม่อนและเรื่องอื่นๆ ไว้ให้อ่านฟรี (ภาษาญี่ปุ่น), แล้วก็มีโรงฉายภาพยนตร์ขนาดเล็กที่ฉายการ์ตูนพิเศษต่างๆ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์จะคัดเลือกหมุนเวียนกันมาแสดง, และที่พลาดไปไม่นั้นเห็นจะเป็นชั้นดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นร้านอาหารอร่อยๆ ที่หยิบเอาคาแร็คเตอร์การ์ตูนใส่ไปในแต่ละเมนูได้น่ารักน่ากินทั้งนั้น รวมไปถึงขนมของฝากที่หยิบเอาไอเดียในการ์ตูนมาใส่ไว้อย่างน่าซื้อทีเดียว

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 05

 

แต่โซนที่ทุกคนประทับใจและจะต้องแวะเวียนมาถ่ายรูปมากที่สุดก็คือโซนสนามหญ้าบนดาดฟ้าที่ติดกับภูเขานั่นเอง ซึ่งบริเวณนี้จะตัวการ์ตูนตลอดจนฉากหลายๆ ตอนอันเป็นเอกลักษณ์มาตั้งวางไว้จัดเป็นสวนสาธารณะขนาดย่อม ตั้งแต่ประตูวิเศษของโดราเอมอน, โดราเอมอนและโนบิตะขี่ไดโนเสาร์, ปาร์แมนกับเจ้าลิงจ๋อนอนชิลล์อาบแดด, และที่พลาดไม่ได้ก็คือฉากท่อน้ำสามอันซ้อนอันเป็นฉากลานรวมพลอมตะที่ปรากฏอยู่ในโดราเอม่อนแถบทุกตอนนั่นเอง

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 08

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 07

 

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 09

ไม่เพียงแต่ตัวตึกของพิพิธภัณฑ์ที่ถูกออกแบบไว้อย่างทันสมัยและสวยงามแล้ว การจัดนิทรรศการด้านในยังถือว่าออกแบบได้ล้ำสมัยยอดเยี่ยมอีกด้วย อ้อ! สิ่งสำคัญนั้นอย่าลืมปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้งของที่ระลึกจากหลากหลายคาแร็กเตอร์ของอาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะล่ะ รับลองว่าน่าขนกลับบ้านทุกชิ้นเลยล่ะ

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 06

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 10

Fujiko F. Fujio Museum (Doraemon Museum)

ที่ตั้ง: ต.ทามะ, เมืองคาวาซากิ, จังหวัดคานากาวะ

เปิด-ปิด: พ.-จ. 10.00-18.00 น. / หยุดวันอังคาร (ยกเว้นช่วง Golden Week 29 เม.ย.-5 พ.ค., ช่วงวันหยุดฤดูร้อน 20 ก.ค.-3 ธ.ค., และช่วงปลายปีรวมไปถึงวันหยุดปีใหม่ 30 ธ.ค.-3 ม.ค.)

รอบเวลาการเข้าชม : แบ่งเป็น 4 รอบต่อวัน คือ 10.00 น. / 12.00 น. / 14.00 น. / 16.00 น.

ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / นักเรียนมัยธม 700 เยน / เด็ก (4 ขวบขึ้นไป) 500 เยน / เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 3 ปี) ฟรี

การจองตั๋ว: ไม่มีการจำหน่ายตั๋วที่หน้าพิพิธภัณฑ์ เราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติใน Lawson ทุกสาขา (สามารถเรียกให้พนักงานให้ช่วยเหลือได้) โดยเลือกวันและเวลาที่เราต้องการเข้าชม

ติดต่อ/ข้อมูล: 0570-055-245 / fujiko-museum.com

วิธีเดินทาง:
เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ Odakyu สาย Odakyu Odawara Line ลงสถานี Noborito ทางออก Tamagawa Exit ตรงจุดนี้หากเดินไปจะใช้เวลาราว 15-30 นาที (ดูแผนที่ในเว็บไซต์ได้) แต่ก็สามารถขึ้นรถเมล์ท้องถิ่นได้ ซึ่งสายที่จะไปพิพิธภัณฑ์นั้นรถจะจอดอยู่ด้านซ้ายสุด (ต้นสาย) มีจุดสังเกตง่ายๆ ก็คือจะเป็นรถที่หุ้มด้วยสติ๊กเกอร์โดราเอม่อนทั้งตัวรถ (ค่ารถ 200 เยน/เที่ยว)

ซื้อตั๋วพิพิธภัณฑ์โดราเอม่อนออนไลน์ ได้ที่นี่

หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกคลิกที่นี่

ชอบกด Like ใช่กด Share ^-^

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

แหล่งท่องเที่ยวโตเกียวสำหรับคนรักการ์ตูนญี่ปุ่นต้องที่พิพิธภัณฑ์ Ghibli Museum
Tokyo_24 Ghibli Museum 02

หากพูดถึง Animation Studio ที่มีชื่อเสียงในระดับสากลของญี่ปุ่นหลายคนคงนึกถึง Studio Ghibli ที่ผลิตผลงานภาพยนตร์การ์ตูนมาแล้วมากมายหลายต่อหลายเรื่อง แถมกวาดรางวัลมาจากหลายเวทีทั่วโลกอีกด้วย ถึงขนาดถูกขนานนามว่านี่คือวอลท์ดิสนีย์แห่งโลกตะวันออกเลยทีเดียว

Tokyo_24 Ghibli Museum 01

 

Studio Ghibli นั้นเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1985 โดย Hayao Miyazaki ผู้เป็นหัวเรือใหญ่และผู้ร่วมก่อตั้งอีกหลายคน ผลิตการ์ตูนที่มีชื่อเสียงออกมาหลายเรื่อง ที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ My Neighbor Totoro, Grave of the Fireflies, Spirited Away หรือแม้แต่ตัวการ์ตูนครึ่งปลาครึ่งคนที่น่ารักโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้อย่าง Ponyo นั่นเอง … หลังจากที่ประสบความสำเร็จจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก Studio Ghibli จึงได้มีแผนที่จะเปิดพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อให้คนเข้ามาสัมผัสโลกจินตนาการของจิบลิกันอย่างใกล้ชิด โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.2001 และได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

Tokyo_24 Ghibli Museum 03

 

พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) นั้นตั้งอยู่ติดกับสวนสาธารณะอิโนะคะชิระ (Inokashira Park) อันเป็นสวนสาธารณะชื่อดังที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของโตเกียวที่อยู่ในย่านเก๋ๆ อย่างย่าน คิชิโจจิ (Kichijoji) สำหรับโลโก้ของสตูดิโอที่เราคุ้นตานั้นก็คือเจ้าโตโตโร่ (Totoro) ตัวการ์ตูนชื่อดังในอนิเมชันเรื่อง My Neighbor Totoro นั่นเอง ซึ่งตัวการ์ตูนยักษ์อันน่ารักนี้ยังนั่งคอยต้อนรับเราอยู่ที่บริเวณทางเข้าของพิพิธภัณฑ์อีกด้วย สำหรับพิพิธภัณฑ์ตลอดจนตัวอาคารอันแปลกประหลาดนั้นก็เป็นฝีมือการออกแบบของหัวเรือใหญ่ Hayao Miyazaki โดยเป็นอาคารที่เขาเคยสเก็ตไว้ใช้ในการ์ตูนอันได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ผสมผสานกัน อาทิ หมู่บ้านบนยอดเขาของเมือง Calcata ในอิตาลีนั่นเอง

Tokyo_24 Ghibli Museum 04

 

ภายในอาณาจักรของจิบลินั่นชวนเราให้ตื่นตาสนุกสนานไปกับการออกแบบอาคารที่เหมือนพาเราหลุดสู่โลกแห่งจินตนาการ แต่ละชั้นนั้นจัดแสดงเรื่องราวมากมายของ Studio Ghibli ตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องหลักการแสงและภาพเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆ และน่าสนุก, การให้ความรู้เรื่อง animation, ห้องจำลองของนักเขียนการ์ตูนอันแสนมีเสน่ห์, ห้องฉายภาพยนตร์ขนาดเล็กที่ Studio Ghibli จะคัดสรรอนิเมชั่นสุดพิเศษหมุนเวียนมาฉายกันตลอดทั้งปี, ต้นฉบับการ์ตูนบางส่วน, แล้วจุดไฮไลท์หนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นก็คือการไต่บันไดไปยังชั้นดาดฟ้า ซึ่งตรงจุดนี้เสมือนสวนที่อยู่เหนือภูเขาที่ทำให้เราแทบไม่รู้สึกเลยว่ากำลังอยู่บนตึกใหญ่

Tokyo_24 Ghibli Museum 05

 

มาถึงตรงจุดชั้นดาดฟ้านี้อีกหนึ่งทีเด็ดที่ห้ามพลาดก็คือการถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กสำคัญซึ่งนั่นก็คือหุ่นเหล็กยักษ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก golem โดยหุ่นนี้ถอดแบบจิตนาการมาจากตัวการ์ตูนในภาพยนตร์ Laputa – Castel in the Sky ที่กำกับโดยหัวเรือใหญ่อย่าง Hayao Miyazaki นั่นเองล่ะ ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1986 แล้วมันก็ถือเป็นผลงานชิ้นแรกของ Studio Ghibli อีกด้วย

Tokyo_24 Ghibli Museum 07

 

 

 

ที่ตั้ง: ย่านคิชิโจจิ, เขตมิตากะ, โตเกียว

 

เปิด-ปิด: พ.-จ. 10.00-18.00 น. / หยุดวันอังคาร และวันหยุดอื่นๆ ตามประกาศของพิพิธภัณฑ์ (โปรดเช็คในเว็บไซต์อีกครั้งหนึ่ง)

 

รอบเวลาการเข้าชม: แบ่งเป็น 4 รอบต่อวัน คือ 10.00 น. / 12.00 น. / 14.00 น. / 16.00 น.

 

ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / นักเรียนมัยธม (13-18 ปี) 700 เยน / เด็ก (7-12 ปี) 400 เยน / เด็กเล็ก (4-6) 100 เยน / เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 4 ปี ลงมา) ฟรี

 

การจองตั๋ว: ไม่มีการจำหน่ายตั๋วที่หน้าพิพิธภัณฑ์ เราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติใน Lawson ทุกสาขา (สามารถเรียกให้พนักงานให้ช่วยเหลือได้) โดยเลือกวันและเวลาที่เราต้องการเข้าชม

 

ติดต่อ/ข้อมูล: www.ghibli-museum.jp

 

วิธีเดินทาง:

 

>วิธีที่ 1 : เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ JR สาย JR Chuo Line (สีส้มแดง) ลงสถานี Kichijoji ออกทาง South Exit (Park Exit) เสร็จแล้วสามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ได้โดยใช้เวลาราว 15 นาที

 

>วิธีที่ 2 : เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ JR สาย JR Chuo Line (สีส้มแดง) ลงสถานี Mitaka (ถัดจาก Kichijoji อีก 1 สถานี) ออกทาง South Exit เสร็จแล้วสามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ได้เช่นกันโดยใช้เวลาราว 15 นาที / หรือไปที่ Bus Stop #9 สามารถนั่งรถประจำทางท้องถิ่นไปยังพิพิธภัณฑ์ได้อีกด้วย (ราคาค่าโดยสารเที่ยวเดียว 200 เยน / ไป-กลับ 300 เยน)

 

 

 

 

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_23 Odaiba Overall 01สถานที่พักผ่อนหย่อนใจในโอไดบะนั้นมีหลายแห่ง เริ่มจากโซนชายหาดและสวนสาธารณะเลียบชายหาดที่ตรงจุดนี้เราจะเห็นวิวอันสวยงามและยิ่งใหญ่ของเมืองโตเกียว ที่รายล้อมพระเอกแห่งเกาะโอไดบะอย่าง สะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge)อันเป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมเกาะกับแผ่นดินใหญ่ ซึ่งสะพานแห่งนี้เป็นสะพานแขวนสองตอนที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นและเป็นหนึ่งในวิวที่สวยงามที่สุดมุมหนึ่งของโตเกียวอีกด้วย (โดยเฉพาะยามค่ำคืน) แลนด์มาร์กอีกอย่างที่อยู่บริเวณสวนสาธารณะด้านหน้าหาดนั้นก็คือ อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจำลอง ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าอ่าวอันเป็นจุดชมวิวและจุดถ่ายรูปยอดนิยมของโอไดบะอีกวิวหนึ่ง

Tokyo_23 Odaiba Overall 02 Tokyo_23 Odaiba Overall 03

ภายในเกาะนั้นเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญๆ มากมาย อาทิ Fuji TV (www.fujitv.co.jp) สำนักงานใหญ่ที่ตัวตึกนั้นโดดเด่นมีเอกลักษณ์จนแทบจะเป็นสัญลักษณ์หลักอีกอย่างหนึ่งของโอไดบะเลยทีเดียว ซึ่งทรงกลมที่อยู่กลางตึกนั้นเราสามารถขึ้นไปชมวิวในมุมสูงได้อีกด้วย, ตึกที่โดดเด่นอีกตึกนั้นก็คือ National Museum of Emerging Science หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า Miraikan (www.miraikan.jst.go.jp) นั่นเอง นอกจากความทันสมัยของการออกแบบอาคารแล้วด้านในยังจัดแสดงนิทรรศการเทคโนโลยีของญี่ปุ่นไว้อย่างน่าสนใจ แล้วที่นี่ก็ยังเป็นสถานที่ที่จัดแสดงหุ่นยอดฮิตอย่าง Asimo อีกด้วย, อีกตึกที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ Tokyo Big Sight ศูนย์จัดแสดงนานาชาติของญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่และมีตัวตึกรูปทรงเรขาคณิตสุดล้ำอย่างเป็นเอกลักษณ์โดยที่นี่เป็นสถานที่จัดงานสำคัญๆ มากมาย อาทิ Tokyo Motor Show ไปจนถึง Tokyo International Anime Fair อันโด่งดังนั่นเอง Tokyo_23 Odaiba Overall 04 Tokyo_23 Odaiba Overall 05

พูดถึงแหล่งเอ็นเตอร์เทนและแหล่งช้อปปิ้งกันบ้าง (ซึ่งส่วนใหญ่อยู่รวมกัน) สองตึกแรกที่แนะนำนั้นก็คือ Decks Tokyo Beach กับ Aquacity Odiba ที่อยู่ติดกัน และอยู่ด้านหน้าตึก Fuji TV นั่นเอง สำหรับ Decks Tokyo Beach (www.odaiba-decks.com) นั้นเป็นที่ตั้งของร้านรวงช้อปปิ้งมากมาย แต่สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่ซ่อนตัวอยู่ในนี้นั้นก็คือ LEGOLAND Discovery Center (www.legolanddiscoverycenter.jp) กับสวนสนุกเลโก้ในร่มที่สร้างสรรค์จากตัวต่ออันแสนคลาสสิกที่สุดในโลกนี้ ซึ่งภายในมีจัดแสดงตั้งแต่ตัวต่อเลโก้รูปต่างๆ ไปจึงถึงเครื่องเล่นมันส์ๆ ที่ราวกับเป็นตัวต่อขยายส่วน, Madame Tussauds Tokyo (www.madametussauds.com/tokyo) พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งอันมีชื่อเสียงของโลกสาขาโตเกียว, JOYPOLIS (tokyo-joypolis.com) สวนสนุกในร่วมที่มันส์ด้วยเทคโนโลยีล้ำๆ และโลกแห่งเกมส์ต่างๆ ที่มารวมกันไว้ในตึกเดียว, Tokyo Trick Art Museum (www.trickart.info) พิพิธภัณฑ์ภาพลวงทางศิลปะแห่งแรกของโลกที่กำลังฮิตไปทั่วโลกขณะนี้, แล้วของเด็ดที่ห้ามพลาดนั้นก็คือ Odaiba Takoyaki Museum ที่ยกพิพิธภัณฑ์ทาโกะยากิจากโอซาก้ามาเปิดสาขาที่โตเกียว ซึ่งในโซนนี้มีทาโกะยากิร้านดังจากคันไซหลายร้านมาเปิดความอร่อยกันแบบสดๆ ใหม่ๆ ในสูตรดั้งเดิมให้ได้ชิมกันจนเพลิน, สำหรับ Aquacity Odiba (www.aquacity.jp)นั้นนอกจากจะมีร้านช้อปปิ้งดังๆ มากมายแล้วด้านบนยังเป็นที่ตั้งของ Sony ExplorScience ให้เราได้ลองสัมผัสกับความสุขของเทคโนโลยีที่มีประสบการณ์แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร Tokyo_23 Odaiba Overall 06 Tokyo_23 Odaiba Overall 07 Tokyo_23 Odaiba Overall 08 Tokyo_23 Odaiba Overall 09 Tokyo_23 Odaiba Overall 10

แหล่งช้อปปิ้งใน Odiaba นั้นยังมีอีกหลายจุด อย่าง 2 ห้างดังที่คนนิยมไปช้อปนั้นก็คือ Venus Front ที่มีร้านเก๋ๆ และที่สำคัญก็คือ Outlet ของแบรนด์ดังอยู่หลายร้าน ซึ่งห้างนี้อยู่บริเวณเดียวกันกับ Toyota Mega Web (www.megaweb.gr.jp) โชว์รูมและแหล่งเรียนรู้เทคโนโลยียานยนต์ขนาดใหญ่ครบวงจร แล้วก็ยังรวมไปถึงชิงช้าสวรรค์สายรุ้งที่เป็นสัญลักษณ์ดังของย่านนี้อีกด้วย, แต่ที่ขอบอกว่าห้ามพลาดเด็ดขาดนั้นก็คือ DiverCity Tokyo Plaza (www.divercity-tokyo.com) ที่อยู่ใจกลางเกาะ ห้างใหม่นี้เต็มไปด้วยร้านค้าทันสมัยเพียบ แต่จุดเด่นอันเป็นเสมือนแลนด์มาร์คใหม่ของโอไดบะนั้นก็คือหุ่นยนต์กันดั้มขนาดยักษ์ที่โด่งดังซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าห้าง และเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมที่สุดในขณะนี้ โดยด้านข้างนั้นนอกจากจะมีร้านขายหุ่นยนต์กันดั้มแบบเป็นทางการแล้วนั้น ก็ยังมี Gundam Café ที่กาแฟนั้นคัดสรรเป็นอย่างดี แถมแต่หน้าฟองนมให้เป็นรูปกันดั้มอีกด้วย แต่ถ้าใครอยากจะรู้จักกันดั้มมากขึ้นกว่านี้นั้นแนะนำให้ขึ้นไปที่ชั้น 7 เพราะด้านบนนั้นมี Gundam Front Tokyo ที่จัดแสดงหุ่นต่อพลาสติกหลายรุ่นหลายแบบรวมไปถึงพิพิธภัณฑ์กันดั้มที่จัดแสดงเรื่องราวของหุ่นยนต์ไว้อย่างน่าดูเชียวล่ะ

 

Tokyo_23 Odaiba Overall 11 Tokyo_23 Odaiba Overall 12 Tokyo_23 Odaiba Overall 13

โอไดบะ (Odaiba)

ที่ตั้ง :เขตโอไดบะ, โตเกียว

วิธีเดินทาง :

ขั้นตอนที่ 1 :นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line, นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย A-Asakusa Line ลงที่สถานี G08/A10-Shimbahi / หรือนั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลมสีเขียว) ลงที่สถานี Shimbashi

ขั้นตอนที่ 2 :เสร็จแล้วต่อรถไฟสาย Yurikamome Line ที่สถานี Shimbashi (สถานีเริ่มต้น) เพื่อข้ามไปยังโอไดบะ และเลือกลงสถานีที่ต้องการ

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 10สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวญี่ปุ่นเพราะหลงใหลให้ความสวยงามของบ้านเมืองและวัฒนธรรมการกินอยู่ต่างๆ คงไม่พลาดที่จะมาเยือนพิพิธภัณฑ์เมืองโบราณจำลองแห่งนี้ เพื่อทำความเข้าใจวิวัฒนาการกว่าจะมาเป็นกรุงโตเกียวที่เห็นในปัจจุบัน

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 08แหล่งศึกษาประวัติศาสตร์ชนชาติโตเกียว ‘Edo-Tokyo Museum’ หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านเมืองโบราณจำลองและวิวัฒนาการของโตเกียว แห่งนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งความรู้ที่จัดแสดงนิทรรศการย้อนอดีตไปตั้งแต่สมัยยุคเอโดะ (Edo period) ราวปี ค..1603-1867 จนกระทั่งวิวัฒนาการสู่โตเกียวยุคปัจจุบัน สำหรับตัวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค..1993 แถมยังมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ซึ่งได้แรงบันดาลใจการออกแบบอันล้ำสมัยมาจากรูปทรงของยุ้งฉางโบราณตามสถาปัตยกรรมแบบ Kurazukuri Style อันเป็นที่นิยมในสมัยเอโดะนั่นเอง

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 09

ความโดดเด่นอีกอย่างก็คือพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ลอยเหนือขึ้นไปอยู่ด้านบน เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนที่ราวกับท่อย้อนอดีตขึ้นสู่ด้านบนนั้นเราจะพบกับโถงขนาดยักษ์ที่จัดแสดงองค์ความรู้ต่างๆ ไว้อย่างสวยงามน่าตื่นตะลึง ซึ่งเริ่มแรกนั้นเราจะถูกต้อนรับด้วยสะพานไม้จำลองโบราณเท่าขนาดจริงอันหมายถึงสะพานนิฮอนบาชิ (Nihonbashi Bridge) อันเป็นสะพานเก่าแก่ชื่อดังแห่งชุมชนเอโดะในยุคก่อนนั่นเอง ซึ่งสะพานดั้งเดิมนั้นถูกสร้างขึ้นในราวปี ค..1590 ในคราวที่โชกุน Tokugawa Ieyasu สร้างเมืองเอโดะขึ้นเป็นครั้งแรก

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 03

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 05เอกลักษณ์ของนิทรรศการหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการจำลองเมืองเหมือนจริงในยุคอดีตซึ่งนอกจากจะจำลองอาคารบ้านเรือนตลอดชุมชนในยุคก่อนอย่างสมจริงแล้ว เสน่ห์อีกอย่างก็คือการจำลองคนที่ปั้นออกมาเป็นหุ่นขนาดเล็กในอิริยาบถต่างๆ จำนวนมากเพื่อแสดงให้เห็นภาพของวิถีชีวิตในยุคก่อนได้อย่างชัดเจนที่สุด

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 06

นอกจากนี้ภายในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณ, หนังสือโบราณ, รวมไปถึงจำลองโรงละครขนาดใหญ่ไว้ในโซนนักพักผ่อน ซึ่งเป็นจุดตรงกลางที่จะเชื่อมจากเมืองเอโดะยุคเก่าไปสู่เมืองโตเกียวยุคใหม่ ซึ่งโซนของโตเกียวนั้นก็มีการจัดนิทรรศการไว้อย่างดีเยี่ยม มีการจัดแสดงพัฒนาการของเมือง ตลอดจนจัดแสดงข้าวของต่างๆ ที่มีคุณค่าต่อการสร้างชาติให้รุ่งเรืองอีกด้วย

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 07

Edo-Tokyo Museum

ที่ตั้ง : 1-4-1 โยโกะอะมิ, เขตสุมิดะ, โตเกียว

เปิดปิด :.-อา. 09.30-17.30 . (วันเสาร์เปิดบริการถึง 19.30 .) / หยุดวันจันทร์

ค่าบริการ :ผู้ใหญ่ 600 เยน / นักเรียนประถมมัยธม 300 เยน / นักศึกษา 480 เยน / ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) 300 เยน

ติดต่อ/ข้อมูล : 03-3626-9974 / www.edo-tokyo-museum.or.jp

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 :นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู) ลงสถานี E12-Ryogoku ทางออก A3, A4 (Exit A3, A4)

>วิธีที่ 2 :นั่งรถไฟ JR สาย Sobu Line (สายสีเหลือง) ลงสถานี Ryogoku ทางออก West Exit

 Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 01

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 02

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_19 Tokyo City View 02 จุดชมวิวเมืองในมุมสูงนั้นดูจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของแทบทุกเมืองใหญ่ทั่วโลกซึ่งหลายๆ ตึกดังนั้นต่างก็มีชั้นชมวิวอยู่ด้านบน แล้วถ้าพูดถึงตึกสูงในโตเกียวที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้แล้วล่ะก็ต้องยกให้ตึก Roppongi Hills แห่งย่าน Roppongi ที่ว่ากันว่าเป็นจุดชมวิวในมุมสูงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว

Tokyo_19 Tokyo City View 07

Tokyo_19 Tokyo City View 01

 

Tokyo_19 Tokyo City View 04

Tokyo City View เป็นจุดชมวิวที่ตั้งอยู่บนชั้น 52 ของตึก Roppongi Hills อันโด่งดังนั่นเอง ด้านล่างของตึกนั้นเป็นแหล่งช้อปปิ้งหรูหรามีระดับที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ส่วนใครที่อยากชมวิวสวยๆ นั้นก็สามารถซื้อตั๋วขึ้นไปด้านบนได้ เมื่อถึงชั้นที่ 52 นั้นเราจะเห็นจุดชมวิวผ่านกระจกใสที่สูงราวตึก 2 ชั้น ให้เห็นวิวภายนอกได้อย่างสวยงามเต็มตา เราสามารถเดินชมวิวได้รอบถึง 360 องศา ระหว่างทางจะมีคาเฟ่ๆ เล็กๆ เก๋ๆ ให้เลือกชิลล์ หรือจะเป็นร้านอาหารที่เป็นจุดดินเนอร์ยอดฮิตที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกเก๋ๆ อีกด้วย

Tokyo_19 Tokyo City View 03

ความพิเศษของชั้น 52 นี้มีอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ MORI ART MUSUEM (www.mori.art.museum) ซึ่งถือว่าเป็นห้องแสดงนิทรรศการศิลปะชั้นนำของโตเกียวและเป็นอาร์ตแกลเลอร์รี่อยู่สูงที่สุดในโตเกียวอีกด้วย ซึ่งเราสามารถขึ้นบันไดไปยังชั้น 53 เพื่อเข้าสู่โซนแสดงนิทรรศการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม สำหรับ MORI ART MUSUEM นั้นเป็นที่แสดงนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยที่มีศิลปินชั้นนำของญี่ปุ่นไปจนกระทั่งศิลปินชั้นนำระดับโลกหมุนเวียนกันมาจัดแสดงงานที่นี่อย่างสม่ำเสมอ

Tokyo_19 Tokyo City View 05 Tokyo_19 Tokyo City View 06

สำหรับความพิเศษที่สุดของ Tokyo City View นั้นก็คือจุดชมวิวชั้น SKY DECK (ที่ต้องเสียเงินเพิ่ม/หรือซื้อรวมกับบัตรผ่านประตูครั้งแรกได้) ที่ต้องขึ้นไปด้านบนของชั้นดาดฟ้าหลังคาตึกในระดับความสูง 270 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งตรงจุดนี้จะเป็นลานกว้างไว้จอดเฮลิคอปเตอร์และโดยรอบนั้นก็คือทางเดินเพื่อชมวิวเมืองในมุมสูงแบบ Open Air ไร้สิ่งขวางกันที่เราสามารถเห็นเมืองโตเกียวในมุมสูงได้ถึงเกือบ 360 องศาเลยทีเดียว นอกจากจะรับลมชมวิวแล้วนั้นด้านบนเขายังจัดที่นั่งไม้เล็กๆ ให้เราได้เพลิดเพลินกับการชมวิวชิลๆ ได้อีกด้วย ซึ่งมุมหนึ่งนั้นก็คือมุมยอดฮิตที่เราสามารถเห็นหอคอยโตเกียวได้อย่างใกล้ชิดและสวยงาม แถมยังเป็นมุมที่ช่างภาพนิยมเก็บภาพหอคอยโตเกียวกับเมืองสุดลูกหูลูกตามากที่สุดอีกด้วย หากใครไม่ได้พกกล้องไป ด้านบนนั้นเขาก็มีบริการถ่ายภาพคู่กับหอคอยโตเกียวอีกด้วย สำหรับวันที่ท้องฟ้าเปิดอากาศสดใสเมฆไม่มากนั้นเราสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิอันตระหง่านได้อีกด้วย และสำหรับเวลาดีที่นิยมกันมากที่สุดนั้นก็คือช่วงเย็นอันเป็นช่วงตะวันตกดิน ซึ่งเวลาที่ตะวันคล้อยนั้นบนชั้นนี้เป็นจุดชมวิวที่แสนโรแมนติกและสวยสุดยอดทีเดียว แถมเรายังสามารถชิลล์ๆ ไปถึงยามค่ำที่หลังตะวันลับขอบฟ้าแล้วเราก็จะเห็นวิวเมืองโตเกียวในยามค่ำคืนที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟระยิบระยิบมีชีวิตชีวาอันเป็นวิวเมืองในมุมสูงอีกอารมณ์ที่งดงามน่าประทับใจทีเดียว

Tokyo_19 Tokyo City View 08 Tokyo_19 Tokyo City View 09

 

Tokyo City View

ที่ตั้ง : ชั้น 52 ตึก Roppongi Hills ย่านรอปปองหงิ, เขตมิตาโตะ, โตเกียว

เปิด-ปิด (Tokyo City View) : จ.-พฤ., อา 10.00-23.00 น. / ศ.-ส., และคืนก่อนวันหยุดญี่ปุ่น 10.00-01.00 น.

เปิด-ปิด (Sky Deck) : ทุกวัน 11.00-20.00 น. (และอาจปิดเมื่อสภาพอากาศเลวร้าย)

ค่าบริการ (Tokyo City View) : ผู้ใหญ่ 1,500 เยน / นักเรียน (มัธยมปลาย-มหาวิทยาลัย) 1,000 เยน / เด็ก (4 ขวบ-มัธยมต้น) 500 เยน

ค่าบริการ (Sky Deck) : ผู้ใหญ่-นักเรียน (มัธยมปลาย-มหาวิทยาลัย) 500 เยน / เด็ก (4 ขวบ-มัธยมต้น) 300 เยน

ติดต่อ : www.roppongihills.com/tcv

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี H04-Roppongi ทางออก 1 (Exit 1)

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู) ลงสถานี E23-Roppongi ทางออก 1 (Exit 1)

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_18 Shinjuku Overall 01

ย่านที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางเกือบแทบจะทุกอย่างของโตเกียวนั้นก็คือชินจูกุ (Shinjuku) นี่เอง เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของ The Metropolitan Government Office ที่ว่าการแห่งมหานครโตเกียวแล้ว ย่านนี้ยังเต็มไปด้วยบริษัทชื่อดังมากมายโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจการเงิน แต่สำหรับการรับรู้ของนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นทั่วไปนั้นย่านนี้ก็คือแหล่งบันเทิงยอดฮิตตลอดจนแหล่งช้อปปิ้งยอดเยี่ยมที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาหลากสีสันที่น่าสนุกทีเดียว

Tokyo_18 Shinjuku Overall 04

พามาแนะนำแหล่งช้อปกันก่อนดีกว่า โซนแรกนั้นเป็นแหล่งรวมของห้างช้อปปิ้งเก๋ๆ โดยเฉพาะสินค้าของเหล่าสาวๆ อินเทรนด์ซึ่งโซนนี้จะอยู่บริเวณสถานีรถไฟใหญ่ JR Shinjuku เลย ตั้งแต่ Lumine (www.lumine.ne.jp/shinjuku), Shinjuku Mylord (www.shinjuku-mylord.com), Shinjuku Terrace City แหล่งแฮงค์เอาท์กลางแจ้งเก๋ๆ ที่มีคาเฟ่น่านั่งพร้อมร้านน่าช้อปปิ้ง, หรือห้างใหญ่อันเก่าแก่และหรูหราอย่าง Takashimaya สาขาชินจูกุ ซึ่งห้างนี้ยังเป็นที่ตั้งของ Tokyu Hands ห้างสารพัดของขายโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่ม D.I.Y ที่มีให้เลือกมากมาย และถือเป็น Tokyu Hands ที่ใหญ่ไม่แพ้สาขาชิบูยาเลยทีเดียว

โซนช้อปปิ้งยอดฮิตอีกโซนนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกของสถานีชินจูกุ ซึ่งบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยห้างใหญ่เก่าแก่แต่ได้รับการดูแลอย่างดีและใส่กลิ่นอายความเก๋เท่ลงไปอยู่ตลอดเวลา ห้างเก่าแก่ยอดฮิตที่มีอายุกว่า 100 ปี นั้นก็ได้แก่ Isetan (www.isetan.co.jp) กับสาขาดั้งเดิมที่อยู่ในอาคารเก่าแก่สไตล์ยุโรป, Isetan men’s กับห้างแรกๆ ที่ฉีกตัวเปิดดีพาร์ทเมนต์โสตร์สำหรับผู้ชายโดยเฉพาะซึ่งกลายเป็นต้นแบบที่ฮิตมาจนถึงทุกวันนี้ และ Isetan men’s นั้นก็โด่งดังและเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อง ภายในมีสิ้นค้าสำหรับผู้ชายที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ คุณภาพเยี่ยม และไม่ตกเทรนด์, นอกจากนี้ก็ยังมีห้างเก่าแก่อีกห้างนั่นก็คือ 0101 (มารุอิ) (www.0101.co.jp) ซึ่งบริเวณนี้มีถึง 3 ห้างย่อยตั้งแต่ 0101 Shinjuku Marui Honkan อันเป็นฐานหลัก, 0101 Shinjuku Marui Men ที่เจาะกลุ่มตลาดผู้ชายโดยเฉพาะ, และ 0101 Shinjuku Marui Annex กับห้างใหม่ล่าสุดที่เก๋ตั้งแต่ตัวตึกภายนอก และภายในนั้นมีร้านค้าเท่ๆ เก๋ๆ สินค้าชิคๆ อยู่มากมาย

Tokyo_18 Shinjuku Overall 05นอกจากจะช้อปปิ้งแฟชั่นกันแล้วที่นี่ก็ยังเป็นแหล่งซื้อหาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดังไม่ต่างจากย่าน Akihabara กันเลยทีเดียว ตั้งแต่ Big Camera (www.biccamera.co.jp) สาขาใหญ่โต, Ydobashi (www.yodobashi.com) สาขาใหญ่, หรือแม้แต่แหล่งช้อปปิ้งใหม่เก๋ยอดนิยมล่าสุดอย่าง BIGQLO ที่เกิดจากสองยักษ์ใหญ่รวมตัวกันได้แก่ Big Camera และ Uniqlo เปิดห้างใหม่อันโดดเด่นที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัดรูปแบบผสมกับร้านจำหน่ายซื้อผ้าแฟชั่นยอดฮิตนั่นเอง

Tokyo_18 Shinjuku Overall 02

Tokyo_18 Shinjuku Overall 03

ในชินจูกุนั้นยังมีห้างดังๆ เก๋ๆ ร้านเล็กๆ ชิคๆ ซ่อนตัวอยู่อีกเพียบ แต่สำหรับผู้ที่ชอบสีสันชีวิตชีวายามค่ำคืนนั้นไม่มีใครที่ไม่รู้จักย่านคาบูกิโชว (Kabukicho) แหล่งท่องราตรีอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ตลอดตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยร้านอาหารดีๆ, ร้านปาจิงโกะ, love hotels, และกิจกรรมบันเทิงอีกมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นชินจูกุนี้ก็มีมุมธรรมชาติอันสวยงามไม่แพ้ที่อื่นเช่นกัน ถ้าหากเบื่อจากการช้อปปิ้งหรือท่องเที่ยวแหล่งบันเทิงแล้วล่ะก็เราสามารถปลีกตัวไปเที่ยว Shinjuku Gyeon หนึ่งในสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียวซึ่งเต็มไปด้วยความร่มรื่น โดยเฉพาะช่วงที่ซากุระเบ่งบานนั้นที่นี่ถือเป็นหนึ่งแห่งยอดฮิตที่ผู้คนนิยมมาชมซากุระกันอีกด้วย

 Tokyo_18 Shinjuku Overall 06

ชินจูกุ (Shinjuku)

ที่ตั้ง : เขตชินจูกุ, โตเกียว

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย M-Marunouchi Line (สีแดง) ลงได้ทั้งสถานี M08-Shinjuku และ M09-Shinjuku Sanchome

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย F-Fukutoshin Line (สีน้ำตาลแดง) ลงสถานี F13-Shinjuku Sanchome

>วิธีที่ 3 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู), สาย S-Shinjuku Line (สีเขียวอ่อน) ลงสถานี E01/E27/S01-Shinjuku (สาย S สามารถลงที่ S02-Shinjuku Sanchome ได้อีกด้วย)

>วิธีที่ 4 : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลม-สีเขียว) ลงสถานี Shinjuku

>วิธีที่ 5 : นั่งรถไฟ Odakyu Line ลงสถานี Shinjuku (ต้นทาง)

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_17 Meiji Jingu Harajuku 01 Tokyo_17 Meiji Jingu Harajuku 02

ทุกช่วงรอยต่อของปีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากนิยมที่จะไปขอพรกันที่วัดหรือศาลเจ้าซึ่งถือเป็นความเชื่อว่าจะเป็นนิมิตหมายแห่งการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดี และสำหรับสถานที่ยอดนิยมที่สุดของโตเกียว (และของญี่ปุ่น) นั้นก็คือศาลเจ้าเมจิแห่งนี้นี่เอง ซึ่งจะมีผู้คนจำนวนมากที่ทยอยมาสวดมนต์ขอพรกันตลอดทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว

Tokyo_17 Meiji Jingu Harajuku 05ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu / Meiji Shrine) นั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์อุทิศถวายแด่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ (Emperor Meiji) และพระจักรพรรดินีโซเค (Empress Shoken) ภายหลังจากที่ทั้งสองพระองค์นั้นสวรรคต ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1920 โดยการร่วมมือของประชาชนทั่วญี่ปุ่นที่ช่วยกันบริจาคต้นไม้กว่า 100,000 ต้น เพื่อสร้างป่าแห่งนี้ขึ้น ศาลเจ้าเมจินั้นเป็นศาสนสถานในศาสนาชินโตอันเป็นศาสนาเก่าแก่และดั้งเดิมของญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นศาลเจ้าแห่งนี้ถูกทำลายอย่างหนัก ศาลเจ้าปัจจุบันนั้นได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ราวปี ค.ศ.1958 ด้วยงบประมาณที่เกิดจากการระดมทุนสาธารณะอีกครั้งนั่นเอง

Tokyo_17 Meiji Jingu Harajuku 03

Tokyo_17 Meiji Jingu Harajuku 06

ในยุคปัจจุบันนั้นศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไม้อันร่มรื่นเขียวครึ้มท่ามกลางการโอบล้อมของตึกสูงระฟ้าและเมืองใหญ่อย่างย่านชินจูกุและชิบูย่า มีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมเยือนกันตลอดทั้งปีแบบไม่ขาดสาย นอกจากจะเป็นศาลเจ้าที่คนนิยมมาสวดมนต์ขอพรในช่วงปีใหม่แล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่แต่งงานตามแบบประเพณีญี่ปุ่นโบราณที่คู่บ่าวสาวนิยมมาจัดงานกันอีกด้วย ซึ่งเราสามารถเห็นประเพณีเก่าแก่อันทรงคุณค่านี้ได้เสมอๆ ในคราวที่มาเยือนวัดแห่งนี้

Tokyo_17 Meiji Jingu Harajuku 04

Tokyo_17 Meiji Jingu Harajuku 07

นอกจากนี้กิจกรรมที่เป็นที่นิยมทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวก็คือการขอพรบนแผ่นไม้ที่เรียกว่า อิมะ (Ema) ซึ่งจะเป็นแผ่นไม้เล็กๆ (แผ่นละ 500 เยน) ให้เราเขียนขอพรต่างๆ ลงไปในนั้น อธิษฐานเสร็จแล้วก็ให้นำไปแขวนไว้โดยรอบต้นไม้ใหญ่ที่จัดไว้ให้นั่นเอง ซึ่งเราจะเห็นได้ตั้งแต่ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาอังกฤษ, ภาษาเกาหลี, หรือว่าแม้แต่ภาษาไทย

Tokyo_17 Meiji Jingu Harajuku 08

 Tokyo_17 Meiji Jingu Harajuku 09

Meiji Jingu, Harajuku

ที่ตั้ง : ย่านฮาราจูกุ, เขตชิบูย่า, โตเกียว

เปิด-ปิด : ทุกวัน 05.00-18.00 น. (เวลาโดยเฉลี่ย / โปรดเช็คเวลาที่แน่นอนของแต่ละเดือนอีกครั้งหนึ่ง) / สำหรับวันที่ 31 ธ.ค. ของทุกปี เปิดตลอด 24 ชม.

ติดต่อ/ข้อมูล : www.meijijingu.or.jp/english

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย C-Chiyoda Line (สีเขียวเข้ม) / สาย F-Fukotoshin Line (สีน้ำตาลทอง) ลงสถานี C03/F15-Meiji-Jingumae ทางออก 2

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลม-สีเขียว) ลงสถานี Harajuku ทางออก Omote-sando Exit