Ad
Ad
Ad
Tag

เที่ยวญี่ปุ่น

Browsing

มาโอซาก้าแล้วไม่ได้มาถ่ายรูปกับพี่กูลิโกะถือว่ามาไม่ถึงโอซาก้าทีเดียว เจ้าป้ายไฟกูลิโกะขนาดยักษ์กลายเป็นสัญลักษณ์คู่เมืองโอซาก้าที่โด่งดังไปทั่วโลก เจ้าป้ายนี้อยู่ที่ย่านโดทงโบรินี่แหละค่ะ

การเดินทาง: สถานีรถไฟนัมบะ (Namba Station)

IMG_6376

ที่เคยคิดว่าญี่ปุ่นนั่นช่างเรียบง่าย อะไรๆ ก็ดูมินิมอลลิสต์ เราจะลืมมันสิ้นเมื่อมาที่ย่านโดทงโบริ เพราะที่นี่เป็นย่านที่รวบรวมความ “เยอะ” ของญี่ปุ่นไว้ทั้งหมด ความวุ่นวาย แสงสีและเสียงตะโกนโหวกเหวกขายของรวมอยู่ในย่านบันเทิงแห่งนี้ที่เดียว นี่แหละเสน่ห์ของเมืองโอซาก้าที่ไม่เหมือนใคร

IMG_6343

ประวัติของย่านโดทงโบรินั้นเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1612 เมื่อพ่อค้านามว่า ยุซุอิ โดทง ได้ขุดขยายแม่น้ำเพื่อเพิ่มรายได้จากการค้า ต่อมาพ่อค้าท่านนี้ได้เสียชีวิตลงกลางศึกที่ข้าศึกล้อมเมืองโอซาก้าไว้ หลานชายของเขาได้สานต่อภารกิจขยายคลองและมีการขนานนามชื่อคลองและถนนเลียบคลองตามชื่อของปู่ของเขาที่เป็นคนริเริ่ม จึงกลายมาเป็นชื่อ โดทงโบริ ที่เราใช้เรียกกันในปัจจุบัน แต่เดิมย่านนี้เป็นแหล่งบันเทิงเต็มรูปแบบมีทั้งโรงละครคาบูกิ โรงละครบุนระกะ แต่โรงละครเหล่านี้ถูกทำลายลงจนหมดสิ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ปัจจุบันนี้ย่านโดทงโบริขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งร้านค้า ร้านอาหารและมีร้าปาจิงโกะร้านเกมส์เพื่อความบันเทิงอย่างครบครัน

IMG_6367

สัญลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร นอกจากป้ายไฟกูลิโกะแล้ว ยังเป็นป้ายร้านอาหารแต่ละร้านที่ขยันทำให้ใหญ่โตมโหฬารไม่เหมือนใคร เช่นร้าน ร้านปูยักษ์ Kani Doraku ที่มีชื่อเสียงของย่านโดทงโบริ เดินเข้าไปจะเห็นเด่นมาแต่ไกล ร้านเกี๊ยวซ่าพร้อมป้ายรูปเกี๊ยวซ่าเซ็ตขนาดใหญ่ ร้านทาโกยากิไส้ปลาหมึกไซส์ใหญ่การันตีได้จากเจ้าปลาหมึกยักษ์สีแดงบนป้ายหน้าร้าน หรือร้าน Zubora ที่มีปลาปักเป้ายักษ์ตัวกลมๆ แขวนลอยเด่นอยู่หน้าร้าน

 CrabOsaka18

ที่นี่ยังมีศูนย์รวมร้านอาหารและการแสดงต่างๆ รวมไปถึงกิจกรรมล่องเรือท่องแม่นำ้ทงโบริด้วย

IMG_7294

IMG_6400

 

หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกคลิกที่นี่

ชอบกด Like ใช่กด Share ^-^

ปราสาทโอซาก้า( Osaka Castle)

IMG_6497

ตัวปราสาทโอซาก้าถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1583 แทนที่วัดโอซาก้า ฮอนกันจิ (Osaka Hongan-ji) โดย โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ผู้ซึ้งเป็นนักรบระดับไดเมียวผู้พยายามรวบรวมประเทศเป็นครั้งแรกโดยตั้งใจให้ปราสาทแห่งนี้เป็นศูนย์กลางใหม่ของญี่ปุ่นภายใต้การปกครองของท่าน ภายหลังการสร้างเสร็จก็ได้กลายเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นในขณะนั้น

ในปีค.ศ. 1615 หลังจากสงคราม Osaka Natsu No-jin ตระกูลโทโยโทมิ ถูกฆ่าล้างโคตร และยอดปราสาทถูกทำลายลงย่อยยับ ต่อมาได้รับการบูรณะใหม่ก็ถุฟ้าผ่าเสียหายย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ปราสาทโอซาก้าไม่มียอดปราสาทนานหลายปี จนกระทั้งปี ค.ศ. 1931 นายกเทศมนตรีเมืองโอซาก้าได้ขอรับเงินบริจาคจากชาวเมืองจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนเยน เพื่อมาบูรณะปราสาทใหม่

ยอดประสาทหรือส่วนที่เรียกว่า Tenshukaku แล้วเสร็จลงสองปีต่อมา แต่หลังจากสงคราม Osaka Natsu No-jin ในปีค.ศ.1615 ตระกูล Toyotomi ถูกฆ่าล้างโคตร Tenshukaku ก็ถูกทำลายลงย่อยยับ ต่อมาได้รับการบูรณะใหม่ในสมัย Tokugawa แต่น่าเสียดายที่ในปีค.ศ.1665 ได้ถูกฟ้าฝ่าเสียหายย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ปราสาทโอซาก้าไม่มี Tenshukaku มานานปี จนกระทั่งในปี 1931 นายกเทศมนตรีเมืองโอซาก้า นาย Seki ได้ขอรับเงินบริจาคจากชาวเมืองจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนเยน (เท่ากับราว 75,000 ล้านเยนในปัจจุบันนี้) มาบูรณะปราสาทใหม่

IMG_6537

ภายในตัวปราสาทมีนิทรรศการแสดงหลักฐาน ภาพเขียน เครื่องแต่งกายโบราณ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับประสาทและตระกูลโทโยโทมิ  อยู่

IMG_6544

ส่วนบริเวณรอบๆ ปราสาทจะถูกล้อมด้วยกำแพงหินคอนกรีต คูน้ำ

IMG_6567

และเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ชื่อว่า (Nishinomaru Garden) ที่อยู่ทางป้อมตะวันตก มีต้นซากุระกว่า 600 ต้น และกลายเป็นแหล่งชมซากุระที่โด่งดังในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี โดยเฉพาะฉากด้านหลังของสวนแห่งนี้จะมองเห็นวิวปราสาทได้ชัดเจน

เวลาทำการ: 9.00 – 17.00น.  (เปิดให้เข้าชมได้ถึง 16.30น. ในบางฤดูกาลจะเปิดให้เข้าชมนานกว่าปกติ)

ค่าเข้าชม: 600 เยน / เข้าชมฟรีถ้ามีบัตร Osaka Amazing Pass

วันปิดทำการ: 28 ธันวาคม – 1 มกราคม

วิธีเดินทาง: สถานีที่ใกล้ตัวปราสาทที่สุดคือสถานีรถไฟใต้ดินและ JR Station Morinomiya

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

แหล่งท่องเที่ยวโตเกียวสำหรับคนรักการ์ตูนญี่ปุ่นต้องที่พิพิธภัณฑ์ Ghibli Museum
Tokyo_24 Ghibli Museum 02

หากพูดถึง Animation Studio ที่มีชื่อเสียงในระดับสากลของญี่ปุ่นหลายคนคงนึกถึง Studio Ghibli ที่ผลิตผลงานภาพยนตร์การ์ตูนมาแล้วมากมายหลายต่อหลายเรื่อง แถมกวาดรางวัลมาจากหลายเวทีทั่วโลกอีกด้วย ถึงขนาดถูกขนานนามว่านี่คือวอลท์ดิสนีย์แห่งโลกตะวันออกเลยทีเดียว

Tokyo_24 Ghibli Museum 01

 

Studio Ghibli นั้นเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1985 โดย Hayao Miyazaki ผู้เป็นหัวเรือใหญ่และผู้ร่วมก่อตั้งอีกหลายคน ผลิตการ์ตูนที่มีชื่อเสียงออกมาหลายเรื่อง ที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ My Neighbor Totoro, Grave of the Fireflies, Spirited Away หรือแม้แต่ตัวการ์ตูนครึ่งปลาครึ่งคนที่น่ารักโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้อย่าง Ponyo นั่นเอง … หลังจากที่ประสบความสำเร็จจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก Studio Ghibli จึงได้มีแผนที่จะเปิดพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อให้คนเข้ามาสัมผัสโลกจินตนาการของจิบลิกันอย่างใกล้ชิด โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.2001 และได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

Tokyo_24 Ghibli Museum 03

 

พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) นั้นตั้งอยู่ติดกับสวนสาธารณะอิโนะคะชิระ (Inokashira Park) อันเป็นสวนสาธารณะชื่อดังที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของโตเกียวที่อยู่ในย่านเก๋ๆ อย่างย่าน คิชิโจจิ (Kichijoji) สำหรับโลโก้ของสตูดิโอที่เราคุ้นตานั้นก็คือเจ้าโตโตโร่ (Totoro) ตัวการ์ตูนชื่อดังในอนิเมชันเรื่อง My Neighbor Totoro นั่นเอง ซึ่งตัวการ์ตูนยักษ์อันน่ารักนี้ยังนั่งคอยต้อนรับเราอยู่ที่บริเวณทางเข้าของพิพิธภัณฑ์อีกด้วย สำหรับพิพิธภัณฑ์ตลอดจนตัวอาคารอันแปลกประหลาดนั้นก็เป็นฝีมือการออกแบบของหัวเรือใหญ่ Hayao Miyazaki โดยเป็นอาคารที่เขาเคยสเก็ตไว้ใช้ในการ์ตูนอันได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ผสมผสานกัน อาทิ หมู่บ้านบนยอดเขาของเมือง Calcata ในอิตาลีนั่นเอง

Tokyo_24 Ghibli Museum 04

 

ภายในอาณาจักรของจิบลินั่นชวนเราให้ตื่นตาสนุกสนานไปกับการออกแบบอาคารที่เหมือนพาเราหลุดสู่โลกแห่งจินตนาการ แต่ละชั้นนั้นจัดแสดงเรื่องราวมากมายของ Studio Ghibli ตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องหลักการแสงและภาพเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆ และน่าสนุก, การให้ความรู้เรื่อง animation, ห้องจำลองของนักเขียนการ์ตูนอันแสนมีเสน่ห์, ห้องฉายภาพยนตร์ขนาดเล็กที่ Studio Ghibli จะคัดสรรอนิเมชั่นสุดพิเศษหมุนเวียนมาฉายกันตลอดทั้งปี, ต้นฉบับการ์ตูนบางส่วน, แล้วจุดไฮไลท์หนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นก็คือการไต่บันไดไปยังชั้นดาดฟ้า ซึ่งตรงจุดนี้เสมือนสวนที่อยู่เหนือภูเขาที่ทำให้เราแทบไม่รู้สึกเลยว่ากำลังอยู่บนตึกใหญ่

Tokyo_24 Ghibli Museum 05

 

มาถึงตรงจุดชั้นดาดฟ้านี้อีกหนึ่งทีเด็ดที่ห้ามพลาดก็คือการถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กสำคัญซึ่งนั่นก็คือหุ่นเหล็กยักษ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก golem โดยหุ่นนี้ถอดแบบจิตนาการมาจากตัวการ์ตูนในภาพยนตร์ Laputa – Castel in the Sky ที่กำกับโดยหัวเรือใหญ่อย่าง Hayao Miyazaki นั่นเองล่ะ ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1986 แล้วมันก็ถือเป็นผลงานชิ้นแรกของ Studio Ghibli อีกด้วย

Tokyo_24 Ghibli Museum 07

 

 

 

ที่ตั้ง: ย่านคิชิโจจิ, เขตมิตากะ, โตเกียว

 

เปิด-ปิด: พ.-จ. 10.00-18.00 น. / หยุดวันอังคาร และวันหยุดอื่นๆ ตามประกาศของพิพิธภัณฑ์ (โปรดเช็คในเว็บไซต์อีกครั้งหนึ่ง)

 

รอบเวลาการเข้าชม: แบ่งเป็น 4 รอบต่อวัน คือ 10.00 น. / 12.00 น. / 14.00 น. / 16.00 น.

 

ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / นักเรียนมัยธม (13-18 ปี) 700 เยน / เด็ก (7-12 ปี) 400 เยน / เด็กเล็ก (4-6) 100 เยน / เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 4 ปี ลงมา) ฟรี

 

การจองตั๋ว: ไม่มีการจำหน่ายตั๋วที่หน้าพิพิธภัณฑ์ เราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติใน Lawson ทุกสาขา (สามารถเรียกให้พนักงานให้ช่วยเหลือได้) โดยเลือกวันและเวลาที่เราต้องการเข้าชม

 

ติดต่อ/ข้อมูล: www.ghibli-museum.jp

 

วิธีเดินทาง:

 

>วิธีที่ 1 : เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ JR สาย JR Chuo Line (สีส้มแดง) ลงสถานี Kichijoji ออกทาง South Exit (Park Exit) เสร็จแล้วสามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ได้โดยใช้เวลาราว 15 นาที

 

>วิธีที่ 2 : เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ JR สาย JR Chuo Line (สีส้มแดง) ลงสถานี Mitaka (ถัดจาก Kichijoji อีก 1 สถานี) ออกทาง South Exit เสร็จแล้วสามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ได้เช่นกันโดยใช้เวลาราว 15 นาที / หรือไปที่ Bus Stop #9 สามารถนั่งรถประจำทางท้องถิ่นไปยังพิพิธภัณฑ์ได้อีกด้วย (ราคาค่าโดยสารเที่ยวเดียว 200 เยน / ไป-กลับ 300 เยน)

 

 

 

 

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_23 Odaiba Overall 01สถานที่พักผ่อนหย่อนใจในโอไดบะนั้นมีหลายแห่ง เริ่มจากโซนชายหาดและสวนสาธารณะเลียบชายหาดที่ตรงจุดนี้เราจะเห็นวิวอันสวยงามและยิ่งใหญ่ของเมืองโตเกียว ที่รายล้อมพระเอกแห่งเกาะโอไดบะอย่าง สะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge)อันเป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมเกาะกับแผ่นดินใหญ่ ซึ่งสะพานแห่งนี้เป็นสะพานแขวนสองตอนที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นและเป็นหนึ่งในวิวที่สวยงามที่สุดมุมหนึ่งของโตเกียวอีกด้วย (โดยเฉพาะยามค่ำคืน) แลนด์มาร์กอีกอย่างที่อยู่บริเวณสวนสาธารณะด้านหน้าหาดนั้นก็คือ อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจำลอง ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าอ่าวอันเป็นจุดชมวิวและจุดถ่ายรูปยอดนิยมของโอไดบะอีกวิวหนึ่ง

Tokyo_23 Odaiba Overall 02 Tokyo_23 Odaiba Overall 03

ภายในเกาะนั้นเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญๆ มากมาย อาทิ Fuji TV (www.fujitv.co.jp) สำนักงานใหญ่ที่ตัวตึกนั้นโดดเด่นมีเอกลักษณ์จนแทบจะเป็นสัญลักษณ์หลักอีกอย่างหนึ่งของโอไดบะเลยทีเดียว ซึ่งทรงกลมที่อยู่กลางตึกนั้นเราสามารถขึ้นไปชมวิวในมุมสูงได้อีกด้วย, ตึกที่โดดเด่นอีกตึกนั้นก็คือ National Museum of Emerging Science หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า Miraikan (www.miraikan.jst.go.jp) นั่นเอง นอกจากความทันสมัยของการออกแบบอาคารแล้วด้านในยังจัดแสดงนิทรรศการเทคโนโลยีของญี่ปุ่นไว้อย่างน่าสนใจ แล้วที่นี่ก็ยังเป็นสถานที่ที่จัดแสดงหุ่นยอดฮิตอย่าง Asimo อีกด้วย, อีกตึกที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ Tokyo Big Sight ศูนย์จัดแสดงนานาชาติของญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่และมีตัวตึกรูปทรงเรขาคณิตสุดล้ำอย่างเป็นเอกลักษณ์โดยที่นี่เป็นสถานที่จัดงานสำคัญๆ มากมาย อาทิ Tokyo Motor Show ไปจนถึง Tokyo International Anime Fair อันโด่งดังนั่นเอง Tokyo_23 Odaiba Overall 04 Tokyo_23 Odaiba Overall 05

พูดถึงแหล่งเอ็นเตอร์เทนและแหล่งช้อปปิ้งกันบ้าง (ซึ่งส่วนใหญ่อยู่รวมกัน) สองตึกแรกที่แนะนำนั้นก็คือ Decks Tokyo Beach กับ Aquacity Odiba ที่อยู่ติดกัน และอยู่ด้านหน้าตึก Fuji TV นั่นเอง สำหรับ Decks Tokyo Beach (www.odaiba-decks.com) นั้นเป็นที่ตั้งของร้านรวงช้อปปิ้งมากมาย แต่สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่ซ่อนตัวอยู่ในนี้นั้นก็คือ LEGOLAND Discovery Center (www.legolanddiscoverycenter.jp) กับสวนสนุกเลโก้ในร่มที่สร้างสรรค์จากตัวต่ออันแสนคลาสสิกที่สุดในโลกนี้ ซึ่งภายในมีจัดแสดงตั้งแต่ตัวต่อเลโก้รูปต่างๆ ไปจึงถึงเครื่องเล่นมันส์ๆ ที่ราวกับเป็นตัวต่อขยายส่วน, Madame Tussauds Tokyo (www.madametussauds.com/tokyo) พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งอันมีชื่อเสียงของโลกสาขาโตเกียว, JOYPOLIS (tokyo-joypolis.com) สวนสนุกในร่วมที่มันส์ด้วยเทคโนโลยีล้ำๆ และโลกแห่งเกมส์ต่างๆ ที่มารวมกันไว้ในตึกเดียว, Tokyo Trick Art Museum (www.trickart.info) พิพิธภัณฑ์ภาพลวงทางศิลปะแห่งแรกของโลกที่กำลังฮิตไปทั่วโลกขณะนี้, แล้วของเด็ดที่ห้ามพลาดนั้นก็คือ Odaiba Takoyaki Museum ที่ยกพิพิธภัณฑ์ทาโกะยากิจากโอซาก้ามาเปิดสาขาที่โตเกียว ซึ่งในโซนนี้มีทาโกะยากิร้านดังจากคันไซหลายร้านมาเปิดความอร่อยกันแบบสดๆ ใหม่ๆ ในสูตรดั้งเดิมให้ได้ชิมกันจนเพลิน, สำหรับ Aquacity Odiba (www.aquacity.jp)นั้นนอกจากจะมีร้านช้อปปิ้งดังๆ มากมายแล้วด้านบนยังเป็นที่ตั้งของ Sony ExplorScience ให้เราได้ลองสัมผัสกับความสุขของเทคโนโลยีที่มีประสบการณ์แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร Tokyo_23 Odaiba Overall 06 Tokyo_23 Odaiba Overall 07 Tokyo_23 Odaiba Overall 08 Tokyo_23 Odaiba Overall 09 Tokyo_23 Odaiba Overall 10

แหล่งช้อปปิ้งใน Odiaba นั้นยังมีอีกหลายจุด อย่าง 2 ห้างดังที่คนนิยมไปช้อปนั้นก็คือ Venus Front ที่มีร้านเก๋ๆ และที่สำคัญก็คือ Outlet ของแบรนด์ดังอยู่หลายร้าน ซึ่งห้างนี้อยู่บริเวณเดียวกันกับ Toyota Mega Web (www.megaweb.gr.jp) โชว์รูมและแหล่งเรียนรู้เทคโนโลยียานยนต์ขนาดใหญ่ครบวงจร แล้วก็ยังรวมไปถึงชิงช้าสวรรค์สายรุ้งที่เป็นสัญลักษณ์ดังของย่านนี้อีกด้วย, แต่ที่ขอบอกว่าห้ามพลาดเด็ดขาดนั้นก็คือ DiverCity Tokyo Plaza (www.divercity-tokyo.com) ที่อยู่ใจกลางเกาะ ห้างใหม่นี้เต็มไปด้วยร้านค้าทันสมัยเพียบ แต่จุดเด่นอันเป็นเสมือนแลนด์มาร์คใหม่ของโอไดบะนั้นก็คือหุ่นยนต์กันดั้มขนาดยักษ์ที่โด่งดังซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าห้าง และเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมที่สุดในขณะนี้ โดยด้านข้างนั้นนอกจากจะมีร้านขายหุ่นยนต์กันดั้มแบบเป็นทางการแล้วนั้น ก็ยังมี Gundam Café ที่กาแฟนั้นคัดสรรเป็นอย่างดี แถมแต่หน้าฟองนมให้เป็นรูปกันดั้มอีกด้วย แต่ถ้าใครอยากจะรู้จักกันดั้มมากขึ้นกว่านี้นั้นแนะนำให้ขึ้นไปที่ชั้น 7 เพราะด้านบนนั้นมี Gundam Front Tokyo ที่จัดแสดงหุ่นต่อพลาสติกหลายรุ่นหลายแบบรวมไปถึงพิพิธภัณฑ์กันดั้มที่จัดแสดงเรื่องราวของหุ่นยนต์ไว้อย่างน่าดูเชียวล่ะ

 

Tokyo_23 Odaiba Overall 11 Tokyo_23 Odaiba Overall 12 Tokyo_23 Odaiba Overall 13

โอไดบะ (Odaiba)

ที่ตั้ง :เขตโอไดบะ, โตเกียว

วิธีเดินทาง :

ขั้นตอนที่ 1 :นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line, นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย A-Asakusa Line ลงที่สถานี G08/A10-Shimbahi / หรือนั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลมสีเขียว) ลงที่สถานี Shimbashi

ขั้นตอนที่ 2 :เสร็จแล้วต่อรถไฟสาย Yurikamome Line ที่สถานี Shimbashi (สถานีเริ่มต้น) เพื่อข้ามไปยังโอไดบะ และเลือกลงสถานีที่ต้องการ

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 10สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวญี่ปุ่นเพราะหลงใหลให้ความสวยงามของบ้านเมืองและวัฒนธรรมการกินอยู่ต่างๆ คงไม่พลาดที่จะมาเยือนพิพิธภัณฑ์เมืองโบราณจำลองแห่งนี้ เพื่อทำความเข้าใจวิวัฒนาการกว่าจะมาเป็นกรุงโตเกียวที่เห็นในปัจจุบัน

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 08แหล่งศึกษาประวัติศาสตร์ชนชาติโตเกียว ‘Edo-Tokyo Museum’ หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านเมืองโบราณจำลองและวิวัฒนาการของโตเกียว แห่งนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งความรู้ที่จัดแสดงนิทรรศการย้อนอดีตไปตั้งแต่สมัยยุคเอโดะ (Edo period) ราวปี ค..1603-1867 จนกระทั่งวิวัฒนาการสู่โตเกียวยุคปัจจุบัน สำหรับตัวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค..1993 แถมยังมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ซึ่งได้แรงบันดาลใจการออกแบบอันล้ำสมัยมาจากรูปทรงของยุ้งฉางโบราณตามสถาปัตยกรรมแบบ Kurazukuri Style อันเป็นที่นิยมในสมัยเอโดะนั่นเอง

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 09

ความโดดเด่นอีกอย่างก็คือพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ลอยเหนือขึ้นไปอยู่ด้านบน เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนที่ราวกับท่อย้อนอดีตขึ้นสู่ด้านบนนั้นเราจะพบกับโถงขนาดยักษ์ที่จัดแสดงองค์ความรู้ต่างๆ ไว้อย่างสวยงามน่าตื่นตะลึง ซึ่งเริ่มแรกนั้นเราจะถูกต้อนรับด้วยสะพานไม้จำลองโบราณเท่าขนาดจริงอันหมายถึงสะพานนิฮอนบาชิ (Nihonbashi Bridge) อันเป็นสะพานเก่าแก่ชื่อดังแห่งชุมชนเอโดะในยุคก่อนนั่นเอง ซึ่งสะพานดั้งเดิมนั้นถูกสร้างขึ้นในราวปี ค..1590 ในคราวที่โชกุน Tokugawa Ieyasu สร้างเมืองเอโดะขึ้นเป็นครั้งแรก

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 03

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 05เอกลักษณ์ของนิทรรศการหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการจำลองเมืองเหมือนจริงในยุคอดีตซึ่งนอกจากจะจำลองอาคารบ้านเรือนตลอดชุมชนในยุคก่อนอย่างสมจริงแล้ว เสน่ห์อีกอย่างก็คือการจำลองคนที่ปั้นออกมาเป็นหุ่นขนาดเล็กในอิริยาบถต่างๆ จำนวนมากเพื่อแสดงให้เห็นภาพของวิถีชีวิตในยุคก่อนได้อย่างชัดเจนที่สุด

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 06

นอกจากนี้ภายในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณ, หนังสือโบราณ, รวมไปถึงจำลองโรงละครขนาดใหญ่ไว้ในโซนนักพักผ่อน ซึ่งเป็นจุดตรงกลางที่จะเชื่อมจากเมืองเอโดะยุคเก่าไปสู่เมืองโตเกียวยุคใหม่ ซึ่งโซนของโตเกียวนั้นก็มีการจัดนิทรรศการไว้อย่างดีเยี่ยม มีการจัดแสดงพัฒนาการของเมือง ตลอดจนจัดแสดงข้าวของต่างๆ ที่มีคุณค่าต่อการสร้างชาติให้รุ่งเรืองอีกด้วย

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 07

Edo-Tokyo Museum

ที่ตั้ง : 1-4-1 โยโกะอะมิ, เขตสุมิดะ, โตเกียว

เปิดปิด :.-อา. 09.30-17.30 . (วันเสาร์เปิดบริการถึง 19.30 .) / หยุดวันจันทร์

ค่าบริการ :ผู้ใหญ่ 600 เยน / นักเรียนประถมมัยธม 300 เยน / นักศึกษา 480 เยน / ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) 300 เยน

ติดต่อ/ข้อมูล : 03-3626-9974 / www.edo-tokyo-museum.or.jp

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 :นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู) ลงสถานี E12-Ryogoku ทางออก A3, A4 (Exit A3, A4)

>วิธีที่ 2 :นั่งรถไฟ JR สาย Sobu Line (สายสีเหลือง) ลงสถานี Ryogoku ทางออก West Exit

 Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 01

Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 02

เรื่องและภาพโดย สวาเก้น

เทศกาลชมดอกไม้ของประเทศญี่ปุ่น หรือ Hanami ถือเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่แถมยังเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ผู้คนทั่วโลกจะพากันมาเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อร่วมชื่นชมความงามที่ธรรมชาติสร้างไว้ สัญลักษณ์ของการก้าวย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่นับเป็นไฮไลท์ก็คือต้นซากุระที่พร้อมใจกันผลิดอกเบ่งบานไปทั่วประเทศญี่ปุ่นในราวช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. ของทุกปี

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_01 Sakura Spot in Tokyo 01

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_01 Sakura Spot in Tokyo 05

การบานของดอกซากุระแต่ละปีอาจแตกต่างกันตามสภาพอากาศแต่ละพื้นที่ แต่โดยปกติแล้วซากุระจะไล่บานจากทางตอนเหนือของญี่ปุ่นเรื่อยมาจนถึงทางตอนใต้ของประเทศและจะบานอยู่ราวๆ 1 อาทิตย์ ก่อนที่จะร่วงโรยไป

photo (3)

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_01 Sakura Spot in Tokyo 04

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_01 Sakura Spot in Tokyo 06

 โตเกียว เป็น หนึ่งในสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวญี่ปุ่นนิยมมาเยือนเพื่อชมซากุระ วันนี้เราเลยหยิบเอา 5 สถานที่ชมซากุระยอดฮิตในโตเกียวมาแนะนำกัน
รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_01 Sakura Spot in Tokyo 03 รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_01 Sakura Spot in Tokyo 02

 

1. สวนอุเอะโนะ (Ueno Park)

สวนสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียวแห่งนี้เป็นสถานที่ชมซากุระยอดฮิตมาตั้งแต่สมัยเอโดะ

และถือเป็นจุดชมซากุระยอดฮิตที่มีประชาชนหนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยทีเดียว ภายในสวนแห่งนี้มีซากุระกว่า 1,000 ต้น ที่พร้อมใจกันเบ่งบาน จุดยอดนิยมในการชมซากุระคือบริเวณถนนที่พุ่งตรงสู่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโตเกียว (Tokyo National Museum) และอีกจุดอันแสนโรแมนติกก็คือบริเวณถนนที่ทอดกลางทะเลสาบชิโนบาสุที่เชื่อมไปยังศาลเจ้า Benzen กลางบึงใหญ่นั่นเอง

+ ที่ตั้ง : ย่านอุเอโนะ, เขตไทโต, โตเกียว

+ วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line (สีส้ม) หรือ สาย H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี G16/H17-Ueno  

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลม-สีเขียว) ลงสถานี Ueno

 

2. นากะเมกุโระ (Nakameguro)

ย่านเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยความเก๋นี้จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตขึ้นมาในทันทีที่ซากุระผลิบาน จุดเด่นสำหรับชมซากุระจะอยู่บริเวณโซนเลียบคลองเมกุโระ (Meguro) ที่มีต้นซากุระเรียงรายตลอดแม่น้ำสายเล็กๆ แข่งกันเบ่งบานอย่างสวยงามกว่า 800 ต้น แล้วสถานที่นี้ยังเต็มไปด้วยร้านเก๋ๆ มากมาย จึงเป็นย่านนั่งชิลยอดฮิตแห่งหนึ่งในฤดูที่ซากุระบาน

+ ที่ตั้ง : ย่านนากะเมกุโระ, เขตเมกุโระ, โตเกียว

+ วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี H01-Naka-meguro  

 

3. สวนสาธารณะแห่งชาติชินจูกุ เกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)

สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นสวนสาธารณะแห่งชาติขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างย่านชินจูกุกับย่านชิบุย่าในกรุงโตเกียว แต่เดิมทีในสมัยเอโดะนั้นเป็นบ้านพักของไดเมียวแห่งตระกูล Naito แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นสวนสาธารณะแห่งชาติที่งดงาม ในฤดูที่ซากุระเบ่งบานนั้นสวนแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตของโตเกียวซึ่งภายในสวนนั้นมีซากุระกว่า 1,500 ต้น ให้เราได้ชื่มชมความงดงาม

+ ที่ตั้ง : ย่านชินจูกุ, เขตชินจูกุ, โตเกียว

+ วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย M-Marunouchi Line (สีแดง) หรือ สาย F-Fukotoshin Line (สีน้ำตาลทอง) ลงสถานี M09/F13-Shinjuku-sanchome เสร็จแล้วออกทางออก E8

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย S-Shinjuku Line (สายสีเขียวอ่อน) ลงสถานี S02-Shinjuku-sanchome / เสร็จแล้วออกทางออก E8

>วิธีที่ 3 : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลม-สีเขียว) ลงสถานี Shinjuku ออกทาง New South Exit

 

4. สวนสาธารณะริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida Park)

สวนสาธารณะแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณริมแม่นำสุมิดะอันเป็นแม่น้ำหลักสายใหญ่ของโตเกียวที่อยู่ไม่ไกลจากวัดเก่าแก่ชื่อดังที่รู้จักกันดีอย่างวัดเซนโซจิ (Sensoji) แห่งย่านอาซากุสะ (Asakusa) สวนสาธารณะแห่งนี้จะทอดตัวไปตามแม่น้ำสุมิดะแบะมีต้นซากุระเบ่งบานอยู่หลายร้อยต้น ที่นี่นอกจากจะเป็นจุดชมซากุระยอดฮิตแล้ว สวนสาธารณะแห่งนี้จะเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงยิ่งกว่าในฤดูร้อน เพราะที่แห่งนี้คือสถานที่ชมการจุดดอกไม้ไฟอันยิ่งใหญ่แห่งแม่น้ำสุมิดะของญี่ปุ่นด้วยนั่นเอง

+ ที่ตั้ง : ย่านอาซากุสะ, เขตไทโตะ, โตเกียว

+ วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line (สีส้ม) ลงสถานี G19-Asakusa ออกทางออกที่ 4 หรือ 5

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย A-Asakusa Line (สายสีส้มแดง) ลงสถานี A18-Asakusa ออกทางออกที่ 4 หรือ 5

 

5. สวนสาธารณะอิโนคาชิระ (Inokashira Park)

สวนสาธารณะขนาดกลางแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ย่านคิชิโจจิ (Kichijoji) อันเป็นย่านฮิตอีกแห่งหนึ่งประจำโตเกียวที่นอกจากจะมีร้านเก๋ๆ ซ่อนตัวอยู่มากมายแล้วก็ยังมีแม่เหล็กชื่อดังอย่าง Ghibli Musuem ที่เป็นพิพิธภัณฑ์รวบรวมศิลปะและเทคนิกการสร้างการ์ตูนอนิเมชั่นชื่อดังของญี่ปุ่นตั้งอยู่ติดกับสวนสาธารณะแห่งนี้อีกด้วย ภายในสวนนั้นมีบ่อน้ำที่เสมือนทะเลสาบขนาดย่อมอยู่ตรงกลาง และมีต้นซากุระอยู่กว่าหลายร้อยต้นแข่งกันเบ่งบานอย่างสวยงาม เป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระยอดนิยมแห่งโตเกียวเลยทีเดียว

+ ที่ตั้ง : ย่านคิชิโจจิ, เขตมูซาชิโนะ, โตเกียว

+ วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ JR Line สาย Chuo Line ลงสถานี Kichijoji

>วิธีที่ 2 : เริ่มต้นที่สถานี Shibuya นั่งรถไฟ Keio สาย Inokashira Line ลงสถานีปลายทาง Kichijoji

 

 

 

แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของโตเกียวที่สามารถมองเห็นได้จากที่ไกลๆ คือ Tokyo Skytree ที่นับว่าเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูงที่ 634 เมตร โดยได้รับการบันทึกจากสถิติกินเนสบุ้ค (วันที่ 17 พฤษภาคม 2011)

8386517382_2319ba8b11_z

9359590787_7e3ac00cd2_z
Skytree

เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกๆ ที่เปลี่ยนระบบสัญญาณโทรทัศน์จากแบบอนาล็อกมาเป็นระบบดิจิทอล  จึงได้มีการริเริ่มการสร้างหอคอยแห่งใหม่ขึ้นมาเพื่อให้เป็นจุดส่งสัญญาณที่ต้องสูงยิ่งกว่าตึกระฟ้าที่มีการสร้างเพิ่มขึ้นทุกวันในโตเกียว และยังจะใช้เป็นจุดส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถืออีกด้วย เพราะฉะนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเริ่มสร้าง Tokyo Skytree ขึ้นในปี 2008 แล้วสร้างเสร็จ ปี 2011 และเพิ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปชมตึก Tokyo Skytree ได้เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2012 นี่เอง จึงนับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ล่าสุดของโตเกียว

จุดชมวิวของ Tokyo Skytree จะมีสองระดับ คือ ระดับความสูงที่ 350 เมตร และระดับความสูงที่ 450 เมตร โดยจะมีลิฟต์รับส่งที่เรียกว่า Tembo Shuttle ขึ้นลงที่ความเร็ว 600 เมตร ต่อนาที นับว่าเป็นลิฟต์ที่วิ่งเร็วที่สุดในญี่ปุ่น และสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้มากถึง 40 คนต่อเที่ยว

เจ้าลิฟต์ Tembo Shuttle จะพานักท่องเที่ยวขึ้นไปที่ชั้น Tembo Deck ของ Tokyo Skytree ภายในเวลาเพียง 50 วินาที เท่านั้น

ใครที่กังวลเรื่องแผ่นดินไหวหรือลมพายุกรรโชกแรง ขอให้หายห่วง เพราะโครงสร้างของเจ้า Tokyo Skytree นั้นเป็นโครงสร้างที่สามารถควบคุมแรงสั่นสะเทือนได้ เหมือนกับโครงสร้างรูปทรงเจดีย์โบราณของญี่ปุ่น

8179025668_218884f5fb_z

8705106212_f8480b5af8_z

จุดชมวิว มีสองระดับชั้น มีชื่อเรียกดังนี้

Tembo Deck ชั้น 340, 345, 350 จุดเด่นที่ระดับนี้คือพื้นแก้วหนาที่ทนทานต่อความสูงระดับนี้ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถมองลงไปด้านล่างและเห็นถึงความอัศจรรย์ของโครงสร้างเหล็กที่สวยงามของเจ้า Tokyo Skytree นี้

7278769282_bf73cfa931_z

Tembo Galleria ชั้น 445 – 450 จะเป็นระเบียงยาวต่อเนื่องประมาณ 110 เมตร มองวิวได้โดยรอบ แถมระหว่างเดินจะมีเสียงสภาพภูมิอากาศจำลองประกอบ โดยเสียงจะถูกปรับให้เข้ากับอากาศด้านนอกในแต่ละฤดู

9250281416_9bf83aa117_z

นอกจากจุดชมวิวและเสาส่งสัญญาณด้านบนแล้ว Tokyo Skytree ยังมีห้างสรรพสินค้าครบวงจรและพิพิธภัณฑ์อยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า Tokyp Skytree Town ที่ถูกสร้างให้เป็นเมืองเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟ Tokyo Skytree กับสถานี Oshiage

วิธีการเดินทาง
สถานีรถไฟใต้ดิน Tokyo Skytree

undergroundB

จุดขายบัตรขึ้น Tokyo Skytree จะอยู่ที่ชั้น 4  

ticketcounter

ticket

วิธีการซื้อตั๋วนั้น หากเรามีบัตรวีซ่าที่ออกโดยแบงค์ญี่ปุ่นเราจะสามารถจองเวลาเข้าชมได้ซึ่งจะการันตีว่าจะได้ขึ้นชมได้แน่ๆ ซึ่งวิธีนี้จะไม่ค่อยสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวไทยทั่วไป การซื้อบัตรออนไลน์ล่วงหน้านั้นมีให้บริการแต่เวปไซด์จะเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น

นักท่องเที่ยวทั่วไปจะต้องไปซื้อตั๋วที่ชั้น 4 ในวันที่จะเข้าชม และอาจจะต้องต่อคิวเพื่อขึ้นไปด้านบนหากวันนั้นๆ มีปริมาณนักท่องเที่ยวมาก

เวลาเปิดและปิด: 8.00 – 22.00น. ทุกวัน

 ราคาบัตร

ประเภทตั๋ว ผู้ใหญ่ (18ปีขึ้นไป) ผู้เยาว์ (12 – 17 ปี) เด็ก (6 – 11 ปี) เด็กก่อนวัยเรียน
Tembo Deck (350m) Day Ticket (ไม่ระบุเวลา) ¥2,000.00 ¥1,500.00 ¥900.00 ¥600.00
Advance Purchse (ระบุเวลา) ¥2,500.00 ¥2,000.00 ¥1,400.00 ¥1,100.00
Tembo Galleria (450m) บัตรเข้าชมต่อวัน ¥1,000.00 ¥800.00 ¥500.00 ¥300.00

Website: http://www.tokyo-skytree.jp/en/