• https://www.personnel.cmarea3.go.th/financial/
  • https://financial.cmarea3.go.th/.well-known/acme-challenge/th/
  • - Part 6
    Ad
    Ad
    Ad
    Author

    admin

    Browsing

    ปราสาทโอซาก้า( Osaka Castle)

    IMG_6497

    ตัวปราสาทโอซาก้าถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1583 แทนที่วัดโอซาก้า ฮอนกันจิ (Osaka Hongan-ji) โดย โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ผู้ซึ้งเป็นนักรบระดับไดเมียวผู้พยายามรวบรวมประเทศเป็นครั้งแรกโดยตั้งใจให้ปราสาทแห่งนี้เป็นศูนย์กลางใหม่ของญี่ปุ่นภายใต้การปกครองของท่าน ภายหลังการสร้างเสร็จก็ได้กลายเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นในขณะนั้น

    ในปีค.ศ. 1615 หลังจากสงคราม Osaka Natsu No-jin ตระกูลโทโยโทมิ ถูกฆ่าล้างโคตร และยอดปราสาทถูกทำลายลงย่อยยับ ต่อมาได้รับการบูรณะใหม่ก็ถุฟ้าผ่าเสียหายย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ปราสาทโอซาก้าไม่มียอดปราสาทนานหลายปี จนกระทั้งปี ค.ศ. 1931 นายกเทศมนตรีเมืองโอซาก้าได้ขอรับเงินบริจาคจากชาวเมืองจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนเยน เพื่อมาบูรณะปราสาทใหม่

    ยอดประสาทหรือส่วนที่เรียกว่า Tenshukaku แล้วเสร็จลงสองปีต่อมา แต่หลังจากสงคราม Osaka Natsu No-jin ในปีค.ศ.1615 ตระกูล Toyotomi ถูกฆ่าล้างโคตร Tenshukaku ก็ถูกทำลายลงย่อยยับ ต่อมาได้รับการบูรณะใหม่ในสมัย Tokugawa แต่น่าเสียดายที่ในปีค.ศ.1665 ได้ถูกฟ้าฝ่าเสียหายย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ปราสาทโอซาก้าไม่มี Tenshukaku มานานปี จนกระทั่งในปี 1931 นายกเทศมนตรีเมืองโอซาก้า นาย Seki ได้ขอรับเงินบริจาคจากชาวเมืองจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนเยน (เท่ากับราว 75,000 ล้านเยนในปัจจุบันนี้) มาบูรณะปราสาทใหม่

    IMG_6537

    ภายในตัวปราสาทมีนิทรรศการแสดงหลักฐาน ภาพเขียน เครื่องแต่งกายโบราณ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับประสาทและตระกูลโทโยโทมิ  อยู่

    IMG_6544

    ส่วนบริเวณรอบๆ ปราสาทจะถูกล้อมด้วยกำแพงหินคอนกรีต คูน้ำ

    IMG_6567

    และเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ชื่อว่า (Nishinomaru Garden) ที่อยู่ทางป้อมตะวันตก มีต้นซากุระกว่า 600 ต้น และกลายเป็นแหล่งชมซากุระที่โด่งดังในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี โดยเฉพาะฉากด้านหลังของสวนแห่งนี้จะมองเห็นวิวปราสาทได้ชัดเจน

    เวลาทำการ: 9.00 – 17.00น.  (เปิดให้เข้าชมได้ถึง 16.30น. ในบางฤดูกาลจะเปิดให้เข้าชมนานกว่าปกติ)

    ค่าเข้าชม: 600 เยน / เข้าชมฟรีถ้ามีบัตร Osaka Amazing Pass

    วันปิดทำการ: 28 ธันวาคม – 1 มกราคม

    วิธีเดินทาง: สถานีที่ใกล้ตัวปราสาทที่สุดคือสถานีรถไฟใต้ดินและ JR Station Morinomiya

    หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกคลิกที่นี่

    ชอบกด Like ใช่กด Share ^-^

    ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)

    ถานที่เที่ยวยอดฮิตของเมือง และเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองอีกด้วย ความเก่าแก่นั้นย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ. 1583 ทีเดียว ตัวปราสาทจะถูกล้อมด้วยสวนซากุระสวยงามมากโดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิ อ่านต่อ

    IMG_6471

    ย่านโดทงโบริ (Dotonbori)

    หากคุ้นตากับป้ายไฟกูลิโกะ สัญลักษณ์อีกอย่างที่อยู่คู่โอซาก้ามาช้านาน ต้องไม่ลืมแวะมาที่นี่ นับเป็นแหล่งบังเทิงและย่านกลางเมืองของโอซาก้า
    มีร้านอาหารและร้านค้ามากมาย

    IMG_6005

    วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple)

    วัดพุทธแห่งแรกที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ตัวตึกแม้จะได้รับการสร้างใหม่ แต่ของเดิมสร้างไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 593 อ่านต่อ

    IMG_6198

    ศาลเจ้าสุมิโยชิไทชะ (Sumiyoshi Taisha)

    เป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่มีสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวสวยงามมาก

    Sumiyoshi Taisha

    พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูกัง (Osaka Aquarium Kaiyukan)

    เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นและทวีปเอเชีย มีบ่อน้ำความจุขนาด 5400 ตัน ลึก 9 เมตร และมีสัตว์น้ำน่าสนใจขนาดใหญ่มากมาย

    amazingaquariumsmosakajapan

    ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอโอซาก้า (Universal Studios Japan)

    ไฮไลท์ของยูนิเวอร์แซลสูตดิโอโอซาก้าคือโซน Harry Potter อันโด่งดัง ที่สาวกไม่ควรพลาดเด็ดขาด

    universal

    ตึกอูเมดะสกาย (Umeda Sky Building, Floating Garden Observatory)

    ตึกที่ไฮเทคที่สุดในโอซาก้า  มีความสูงถึง 173 เมตร เป็นจุดชมวิวที่โด่งดังที่สุด อ่านต่อ

    IMG_6070

    ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ HEP Five (HEP FIVE Ferris Wheel)

    ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 75 เมตร ที่ตั้งเด่นบนตึก HEP FIVE เป็นสัญลักษณ์อีกแห่งที่มองเห็นได้แต่ไกลและไม่ควรพลาดที่จะไปเยือน อ่านต่อ

    IMG_6657

    ย่านอาเมมูระ (Ame-Mura)

    อเมริกันทาว์นสไตล์ญี่ปุ่น เป็นแหล่งช็อปปิ้งวัยรุ่นสุดฮิฟ

    osaka-Amerika-Mura

    พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โอซาก้า (Osaka Museum of History)

    พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยที่สำคัญและบอกเล่าเรื่องราวประวัติของเมืองตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน
    ตัวพิพิธภัณฑ์สร้างอยู่บนโครงสร้างพระราชวังเดิม  อ่านต่อ

    IMG_6599

    การเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะหน้าหนาว แน่นอนว่าเราต้องคาดหวังจะได้ไปตะลุยหิมะ กระเป๋าเดินทางที่ต้องเตรียมไปจึงต้องเหมาะสมกับสภาพอากาศและเพียงพอสำหรับสัมภาระที่เราเอาไป รวมถึงสัมภาระที่จะงอกเงยตอนขากลับอีกด้วย
    กระเป๋าเดินทางนั้นคือการลงทุนไม่ใช่การสิ้นเปลื้อง ที่สำคัญกระเป๋าแพงใช่ว่าจะดีเสมอไป เราควรจะเลือกกระเป๋าคุณภาพดีที่เหมาะกับการเดินทางและสไตล์การเที่ยวของเรามากกว่า

    กระเป๋าไซส์ไหนเหมาะกับการเดินทางไปญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาว

    ปกติแล้วเราจะไปเที่ยวญี่ปุ่น 5 – 7 วัน โดยประมาณ กระเป๋าเดินทางที่เหมาะสมสำหรับหน้าหนาวคือ ขนาด 26” – 28” เพราะต้องเผื่อที่ไว้สำหรับอุปกรณ์กันหนาวด้วย และไม่ควรมีกระเป๋าหลายใบเพราะจะยุ่งยากสำหรับการขนย้าย ลากขึ้นลงสถานีรถไฟกว่าจะไปถึงโรงแรม สำหรับคุณผู้หญิงอย่าเลือกไซส์ที่ใหญ่มากจนยกไม่ไหว ต้องสำรวจดูว่าหากต้องยกขึ้นลงขั้นบันไดย่อยๆ เราสามารถยกได้ไหมด้วย

    ควรเลือกกระเป๋าที่มีซิบขยายจะช่วยลดความเครียดเวลาแพ็คของช็อปปิ้งได้เยอะเลย

    กระเป๋าเดินทางไซส์อื่นๆ จะเหมาะกับระยะเวลาการเดินทางดังนี้

    1-2 วัน  ใช้กระป๋าไซส์ 18” – 19” ก็พอ

    3-4 วัน สำหรับคนไม่ช็อป ใช้ขนาด 22” ก็พอ แต่สำหรับสาวๆ ที่เตรียมมาช็อปปิ้ง ใช้ขนาด 24” – 26” ไปเลย  

    5 – 7 วัน ใช้ไซส์ 26” – 28″ กำลังสวย

    เกินกว่านั้น หรือจัดกระเป๋าเผื่อสมาฃิกอื่นๆ ในครอบครัว อาจใช้ 26” สองใบ

    กระเป๋าไซส์ใหญ่ 28” -30” นั้นเหมาะสำหรับเดินทางไกลหลายอาทิตย์ หรือไปในประเทศที่อากาศหนาวและต้องเผื่อที่สำหรับเสื้อกันหนาวหนาๆ แต่ไม่แนะนำสำหรับไปท่องเที่ยว เพราะจะหนักมาก

    ช้อปกระเป๋าเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น ที่ kingpower ลด 20% ทุกแบรนด์ ได้ที่นี่

    2 ล้อ หรือ 4 ล้อหมุนได้รอบตัว แบบไหนดีกว่ากัน

    กระเป๋าเดินทางแบบ 4 ล้อ หมุนได้รอบตัวย่อมดีกว่า 2 ล้อแบบลาก เพราะจะช่วยผ่อนแรงได้มากกว่า แต่หากต้องเลือกแบบ 2 ล้อ ควรเลือกที่ล้อใหญ่แข็งแรงและหูยืดหดแข็งแรงสามารถรับน้ำหนักได้ทน เวลาลากจะได้ไม่เอียงไปมา

    ล้อที่ดีที่สุดควรเป็นล้อยางทั้งลูกจะได้ไม่กระเทาะแตกตามสภาพอากาศ ยิ่งชนิดที่มีตลับลูกปืนยิ่งดีใหญ่ ตัวล้อควรฝั่งอยู่ภายในกระเป๋า โดยเฉพาะกระเป๋าไซส์กลางและใหญ่ที่ต้องโหลดใต้ท้องเครื่องเพื่อป้องกันล้อเสื่อมหรือชำรุด

    แต่ก่อนจะเลือกว่าต้องการล้อแบบไหน ควรดูว่าสถานที่ที่เราจะไปนั้นเหมาะสำหรับใช้ล้อแบบไหนมากกว่ากัน ตัวอย่างเช่น พื้นถนนเรียบ กว้างขวาง ขึ้นลงสถานีรถไฟสามารถใช้บริการลิฟท์และบันไดเลื่อนก็จะเหมาะกับการใช้ 4 ล้อ มากกว่า แต่หากต้องไปในประเทศที่พื้นถนนขรุขระหรือเป็นถนนแบบอิฐโบราณเช่นในยุโรป หรือเมืองเก่าต่างๆ ใช้สองล้อลากเอาจะสะดวกมากกว่า

    Hard Shell หรือ Soft Shell กระเป๋าแข็งหรือกระเป๋าผ้าดีกว่ากัน

    Soft Shell กระเป๋าผ้ามักผลิตจากโพลีเอสเตอร์ผสมไนล่อน ให้ความยืดหยุ่นได้เยอะกว่าโดยเฉพาะเวลายัดของพูนๆ จะเหมาะสมมาก แต่ก็ต้องระวังเรื่องของที่อาจแตกได้ง่าย หรือเดินทางไปในที่ที่ฝนตก หิมะตก อากาศเปียกชื้น ตัวผ้าจะซับน้ำและโดนฝุ่นทำให้สกปรกและอาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ต้องหมั่นเอาออกมาเช็ดทำความสะอาดและตากแดดทุกครั้งหลังเดินทาง ข้อดีของกระเป๋าผ้าอีกอย่างคือ ตัวซิปมักจะอยู่ขอบกระเป๋าทำให้เวลาจัดของสามารถวางได้ง่ายดายและสะดวกกว่ากระเป๋าแบบแข็งที่ตัวซิปอยู่ตรงกลางผ่าครึ่งกระเป๋า

    Hard Shell  เราอาจมีความเข้าใจผิดๆ ว่ากระเป๋าแข็งนั้นมักจะแตกได้ง่ายและหนักกว่ากระเป๋าผ้า หากปัจจุบันนี้บริษัทผลิตกระเป๋าเดินทางนิยมใช้ Polycarbonate ABS ที่เป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้ผลิตคอนแทคเลนส์ ขึ้นชื่อเรื่องความคงทนและความยืดหยุ่น ทนต่อการขีดข่วนและแรงกระแทก แถมยังบางเบากว่าพลาสติกธรรมดาและกระเป๋าเดินทางแบบอลูมิเนียม และบางครั้งก็เบากว่ากระเป๋าผ้าด้วยซ้ำไป แน่นอนว่าราคากระเป๋า Hard Shell แบบนี้ย่อมสูงกว่ากระเป๋าเดินทางแบบอื่น เพราะถือว่าเป็นกระเป๋าเดินทางที่สมบุสมบันที่สุด

    กระเป๋าแบบแข็งเหมาะกับนักเดินทางที่ใส่ของมีค่าที่อาจแตกหักเสียหายได้ เช่นกล้องถ่ายรูป หรือคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป และเหมาะกับการเดินทางในทุกสภาพอากาศ และโดยเฉพาะเหมาะกับอากาศหนาวเย็น เพราะไม่ดูดซับน้ำและความชื้น สามารถปกป้องเสื้อผ้าด้านในได้ดี อีกทั้งยังเช็ดถูทำความสะอาดโครงสร้างด้านนอกได้ง่ายกว่ากระเป๋าเดินทางแบบผ้า ควรเลือกแบบระบบซิปจะยืดหยุ่นได้ดีกว่าและบางรุ่นสามารถขยายขนาดได้เมื่อจำเป็น และในกรณีที่ล็อคเสียยังสามารถใช้กุญแจคล้องทดแทนได้

     

    กระเป๋าสำหรับขึ้นเครื่อง Cabin luggage

    สายการบินจะอนุญาตให้ผู้โดยสารทำกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กติดตัวได้ 1 ใบ ด้วยขนาดที่ไม่เกิน 22” (ไม่รวมกระเป๋าถือสำหรับสุภาพสตรี) ดูตัวอย่างกระเป๋า โดยน้ำหนักจะต้องต้องไม่เกิน 10 กิโลกรัม บางสายการบินอนุญาติให้แค่ 7 กิโลกรัมเท่านั้น และบางสายการบินจะนับรวมน้ำหนักของกระเป๋าถือสุภาพสตรีและน้ำหนักกระเป๋าเดินทางที่จะเอาขึ้นเครื่อง แนะนำให้เช็คข้อจำกัดของสายการบินที่จะใช้เดินทางก่อนจัดกระเป๋า

    แนะนำเป็นพิเศษ: ตอนนี้ Online Shop ของ King Power กำลังมีโปรโมชั่นลดราคา 20% สำหรับกระเป๋าเดินทางทุกรุ่นทุกไซส์ อย่าลืมใส่โปรโมชั่นโค้ด LUGGAGE20 แล้วเลือกช็อปกระเป๋าที่ถูกใจได้เลย

    ช้อปกระเป๋าเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น ที่ kingpower ลด 20% ทุกแบรนด์ ได้ที่นี่

    เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

    Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 03

     

    โดราเอมอนถือเป็นตัวการ์ตูนอมตะที่คนทุกเพศทุกวัยรู้จักกันเป็นอย่างดีทั่วโลก ซึ่งผู้ที่ให้กำเนิดลายเส้น เรื่องราว และชีวิตชีวาของเจ้าแมวเหมียวตัวกลมสีฟ้านี้ก็คือนักเขียนมือฉมังของญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่างอาจารย์ Fujiko F. Fujio นั่นเอง และสำหรับแฟนโดราเอม่อนไปจนถึงแฟนการ์ตูนของอาจารย์นั้นก็ต้องไปเยือนพิพิธภัณฑ์ FUJIKO F. FUJIO ที่นับว่าเป็นหนึ่งในที่เที่ยวโตเกียวที่ไม่ควรพลาด เพราะนี่คือโลกการ์ตูนอันยิ่งใหญ่ที่เราจะประทับใจไม่รู้ลืมเลยทีเดียว

    Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 01

    พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือ Fujiko F. Fujio Museum หรือที่ถูกเรียกกันเป็นชื่อเล่นติดปากว่า Doraemon Museum นั้น ได้หยิบเอานามปากกาของนักเขียนชื่อดังอย่าง ฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะ มาเป็นชื่อพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอันที่จริงแล้วที่นี่ก็คือหอประวัติของอาจารย์ฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะนั่นเอง เพราะเรื่องราวที่จัดแสดงทั้งหมดนั้นไม่มีเพียงแต่เรื่องของโดราเอมอนเท่านั้น แต่ยังมีการ์ตูนอีกหลายๆ เรื่องที่ถือกำเนิดโดยฝีมืออาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะคนนี้

    Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 02

    นอกจากลายเส้นต้นฉบับหลายๆ เรื่องที่แทรกการเล่าที่ไปที่มาได้อย่างน่าสนใจแล้วนั้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังสอดแทรกเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของอาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะไว้อย่างน่าทำความรู้จักอีกด้วย หลากหลายมุมนั้นเป็นมุมที่เราไม่เคยรู้ที่ไหนมาก่อน อย่างเช่น ข้าวของเครื่องใช้ที่อาจารย์รัก, หนังสือการ์ตูนวาดมือเล่มแรกในชีวิตที่อาจารย์สร้างสรรค์ขึ้นเองทั้งเล่ม, ต้นฉบับการ์ตูนเรื่องเบนเฮอร์ในแบบฉบับเฉพาะตัวที่ปรมจารย์การ์ตูนระดับโลกอย่าง Osamu Tezuka ถึงกับเอ่ยปากชม (ในขณะนั้นอาจารย์ฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่), ไปจนถึงเรื่องราวของครอบครัวตลอดจนงานอดิเรกที่อาจารย์ชอบอีกด้วย

    Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 04

    พ้นจากโซนนิทรรศการเจ๋งๆ แล้วเราก็จะออกมาพบโซนโลกแห่งความหรรษากันล่ะ (โดยเฉพาะเด็กๆ) เพราะตรงจุดนี้มีเกมส์หลายแบบให้ลองเล่น, มีมุมการ์ตูนโดราเอม่อนและเรื่องอื่นๆ ไว้ให้อ่านฟรี (ภาษาญี่ปุ่น), แล้วก็มีโรงฉายภาพยนตร์ขนาดเล็กที่ฉายการ์ตูนพิเศษต่างๆ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์จะคัดเลือกหมุนเวียนกันมาแสดง, และที่พลาดไปไม่นั้นเห็นจะเป็นชั้นดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นร้านอาหารอร่อยๆ ที่หยิบเอาคาแร็คเตอร์การ์ตูนใส่ไปในแต่ละเมนูได้น่ารักน่ากินทั้งนั้น รวมไปถึงขนมของฝากที่หยิบเอาไอเดียในการ์ตูนมาใส่ไว้อย่างน่าซื้อทีเดียว

    Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 05

     

    แต่โซนที่ทุกคนประทับใจและจะต้องแวะเวียนมาถ่ายรูปมากที่สุดก็คือโซนสนามหญ้าบนดาดฟ้าที่ติดกับภูเขานั่นเอง ซึ่งบริเวณนี้จะตัวการ์ตูนตลอดจนฉากหลายๆ ตอนอันเป็นเอกลักษณ์มาตั้งวางไว้จัดเป็นสวนสาธารณะขนาดย่อม ตั้งแต่ประตูวิเศษของโดราเอมอน, โดราเอมอนและโนบิตะขี่ไดโนเสาร์, ปาร์แมนกับเจ้าลิงจ๋อนอนชิลล์อาบแดด, และที่พลาดไม่ได้ก็คือฉากท่อน้ำสามอันซ้อนอันเป็นฉากลานรวมพลอมตะที่ปรากฏอยู่ในโดราเอม่อนแถบทุกตอนนั่นเอง

    Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 08

    Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 07

     

    Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 09

    ไม่เพียงแต่ตัวตึกของพิพิธภัณฑ์ที่ถูกออกแบบไว้อย่างทันสมัยและสวยงามแล้ว การจัดนิทรรศการด้านในยังถือว่าออกแบบได้ล้ำสมัยยอดเยี่ยมอีกด้วย อ้อ! สิ่งสำคัญนั้นอย่าลืมปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้งของที่ระลึกจากหลากหลายคาแร็กเตอร์ของอาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะล่ะ รับลองว่าน่าขนกลับบ้านทุกชิ้นเลยล่ะ

    Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 06

    Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 10

    Fujiko F. Fujio Museum (Doraemon Museum)

    ที่ตั้ง: ต.ทามะ, เมืองคาวาซากิ, จังหวัดคานากาวะ

    เปิด-ปิด: พ.-จ. 10.00-18.00 น. / หยุดวันอังคาร (ยกเว้นช่วง Golden Week 29 เม.ย.-5 พ.ค., ช่วงวันหยุดฤดูร้อน 20 ก.ค.-3 ธ.ค., และช่วงปลายปีรวมไปถึงวันหยุดปีใหม่ 30 ธ.ค.-3 ม.ค.)

    รอบเวลาการเข้าชม : แบ่งเป็น 4 รอบต่อวัน คือ 10.00 น. / 12.00 น. / 14.00 น. / 16.00 น.

    ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / นักเรียนมัยธม 700 เยน / เด็ก (4 ขวบขึ้นไป) 500 เยน / เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 3 ปี) ฟรี

    การจองตั๋ว: ไม่มีการจำหน่ายตั๋วที่หน้าพิพิธภัณฑ์ เราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติใน Lawson ทุกสาขา (สามารถเรียกให้พนักงานให้ช่วยเหลือได้) โดยเลือกวันและเวลาที่เราต้องการเข้าชม

    ติดต่อ/ข้อมูล: 0570-055-245 / fujiko-museum.com

    วิธีเดินทาง:
    เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ Odakyu สาย Odakyu Odawara Line ลงสถานี Noborito ทางออก Tamagawa Exit ตรงจุดนี้หากเดินไปจะใช้เวลาราว 15-30 นาที (ดูแผนที่ในเว็บไซต์ได้) แต่ก็สามารถขึ้นรถเมล์ท้องถิ่นได้ ซึ่งสายที่จะไปพิพิธภัณฑ์นั้นรถจะจอดอยู่ด้านซ้ายสุด (ต้นสาย) มีจุดสังเกตง่ายๆ ก็คือจะเป็นรถที่หุ้มด้วยสติ๊กเกอร์โดราเอม่อนทั้งตัวรถ (ค่ารถ 200 เยน/เที่ยว)

    ซื้อตั๋วพิพิธภัณฑ์โดราเอม่อนออนไลน์ ได้ที่นี่

     

    เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

    แหล่งท่องเที่ยวโตเกียวสำหรับคนรักการ์ตูนญี่ปุ่นต้องที่พิพิธภัณฑ์ Ghibli Museum
    Tokyo_24 Ghibli Museum 02

    หากพูดถึง Animation Studio ที่มีชื่อเสียงในระดับสากลของญี่ปุ่นหลายคนคงนึกถึง Studio Ghibli ที่ผลิตผลงานภาพยนตร์การ์ตูนมาแล้วมากมายหลายต่อหลายเรื่อง แถมกวาดรางวัลมาจากหลายเวทีทั่วโลกอีกด้วย ถึงขนาดถูกขนานนามว่านี่คือวอลท์ดิสนีย์แห่งโลกตะวันออกเลยทีเดียว

    Tokyo_24 Ghibli Museum 01

     

    Studio Ghibli นั้นเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1985 โดย Hayao Miyazaki ผู้เป็นหัวเรือใหญ่และผู้ร่วมก่อตั้งอีกหลายคน ผลิตการ์ตูนที่มีชื่อเสียงออกมาหลายเรื่อง ที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ My Neighbor Totoro, Grave of the Fireflies, Spirited Away หรือแม้แต่ตัวการ์ตูนครึ่งปลาครึ่งคนที่น่ารักโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้อย่าง Ponyo นั่นเอง … หลังจากที่ประสบความสำเร็จจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก Studio Ghibli จึงได้มีแผนที่จะเปิดพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อให้คนเข้ามาสัมผัสโลกจินตนาการของจิบลิกันอย่างใกล้ชิด โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.2001 และได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

    Tokyo_24 Ghibli Museum 03

     

    พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) นั้นตั้งอยู่ติดกับสวนสาธารณะอิโนะคะชิระ (Inokashira Park) อันเป็นสวนสาธารณะชื่อดังที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของโตเกียวที่อยู่ในย่านเก๋ๆ อย่างย่าน คิชิโจจิ (Kichijoji) สำหรับโลโก้ของสตูดิโอที่เราคุ้นตานั้นก็คือเจ้าโตโตโร่ (Totoro) ตัวการ์ตูนชื่อดังในอนิเมชันเรื่อง My Neighbor Totoro นั่นเอง ซึ่งตัวการ์ตูนยักษ์อันน่ารักนี้ยังนั่งคอยต้อนรับเราอยู่ที่บริเวณทางเข้าของพิพิธภัณฑ์อีกด้วย สำหรับพิพิธภัณฑ์ตลอดจนตัวอาคารอันแปลกประหลาดนั้นก็เป็นฝีมือการออกแบบของหัวเรือใหญ่ Hayao Miyazaki โดยเป็นอาคารที่เขาเคยสเก็ตไว้ใช้ในการ์ตูนอันได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ผสมผสานกัน อาทิ หมู่บ้านบนยอดเขาของเมือง Calcata ในอิตาลีนั่นเอง

    Tokyo_24 Ghibli Museum 04

     

    ภายในอาณาจักรของจิบลินั่นชวนเราให้ตื่นตาสนุกสนานไปกับการออกแบบอาคารที่เหมือนพาเราหลุดสู่โลกแห่งจินตนาการ แต่ละชั้นนั้นจัดแสดงเรื่องราวมากมายของ Studio Ghibli ตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องหลักการแสงและภาพเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆ และน่าสนุก, การให้ความรู้เรื่อง animation, ห้องจำลองของนักเขียนการ์ตูนอันแสนมีเสน่ห์, ห้องฉายภาพยนตร์ขนาดเล็กที่ Studio Ghibli จะคัดสรรอนิเมชั่นสุดพิเศษหมุนเวียนมาฉายกันตลอดทั้งปี, ต้นฉบับการ์ตูนบางส่วน, แล้วจุดไฮไลท์หนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นก็คือการไต่บันไดไปยังชั้นดาดฟ้า ซึ่งตรงจุดนี้เสมือนสวนที่อยู่เหนือภูเขาที่ทำให้เราแทบไม่รู้สึกเลยว่ากำลังอยู่บนตึกใหญ่

    Tokyo_24 Ghibli Museum 05

     

    มาถึงตรงจุดชั้นดาดฟ้านี้อีกหนึ่งทีเด็ดที่ห้ามพลาดก็คือการถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กสำคัญซึ่งนั่นก็คือหุ่นเหล็กยักษ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก golem โดยหุ่นนี้ถอดแบบจิตนาการมาจากตัวการ์ตูนในภาพยนตร์ Laputa – Castel in the Sky ที่กำกับโดยหัวเรือใหญ่อย่าง Hayao Miyazaki นั่นเองล่ะ ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1986 แล้วมันก็ถือเป็นผลงานชิ้นแรกของ Studio Ghibli อีกด้วย

    Tokyo_24 Ghibli Museum 07

     

     

     

    ที่ตั้ง: ย่านคิชิโจจิ, เขตมิตากะ, โตเกียว

     

    เปิด-ปิด: พ.-จ. 10.00-18.00 น. / หยุดวันอังคาร และวันหยุดอื่นๆ ตามประกาศของพิพิธภัณฑ์ (โปรดเช็คในเว็บไซต์อีกครั้งหนึ่ง)

     

    รอบเวลาการเข้าชม: แบ่งเป็น 4 รอบต่อวัน คือ 10.00 น. / 12.00 น. / 14.00 น. / 16.00 น.

     

    ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / นักเรียนมัยธม (13-18 ปี) 700 เยน / เด็ก (7-12 ปี) 400 เยน / เด็กเล็ก (4-6) 100 เยน / เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 4 ปี ลงมา) ฟรี

     

    การจองตั๋ว: ไม่มีการจำหน่ายตั๋วที่หน้าพิพิธภัณฑ์ เราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติใน Lawson ทุกสาขา (สามารถเรียกให้พนักงานให้ช่วยเหลือได้) โดยเลือกวันและเวลาที่เราต้องการเข้าชม

     

    ติดต่อ/ข้อมูล: www.ghibli-museum.jp

     

    วิธีเดินทาง:

     

    >วิธีที่ 1 : เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ JR สาย JR Chuo Line (สีส้มแดง) ลงสถานี Kichijoji ออกทาง South Exit (Park Exit) เสร็จแล้วสามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ได้โดยใช้เวลาราว 15 นาที

     

    >วิธีที่ 2 : เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ JR สาย JR Chuo Line (สีส้มแดง) ลงสถานี Mitaka (ถัดจาก Kichijoji อีก 1 สถานี) ออกทาง South Exit เสร็จแล้วสามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ได้เช่นกันโดยใช้เวลาราว 15 นาที / หรือไปที่ Bus Stop #9 สามารถนั่งรถประจำทางท้องถิ่นไปยังพิพิธภัณฑ์ได้อีกด้วย (ราคาค่าโดยสารเที่ยวเดียว 200 เยน / ไป-กลับ 300 เยน)

     

     

     

     

     

    เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

    Tokyo_23 Odaiba Overall 01สถานที่พักผ่อนหย่อนใจในโอไดบะนั้นมีหลายแห่ง เริ่มจากโซนชายหาดและสวนสาธารณะเลียบชายหาดที่ตรงจุดนี้เราจะเห็นวิวอันสวยงามและยิ่งใหญ่ของเมืองโตเกียว ที่รายล้อมพระเอกแห่งเกาะโอไดบะอย่าง สะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge)อันเป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมเกาะกับแผ่นดินใหญ่ ซึ่งสะพานแห่งนี้เป็นสะพานแขวนสองตอนที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นและเป็นหนึ่งในวิวที่สวยงามที่สุดมุมหนึ่งของโตเกียวอีกด้วย (โดยเฉพาะยามค่ำคืน) แลนด์มาร์กอีกอย่างที่อยู่บริเวณสวนสาธารณะด้านหน้าหาดนั้นก็คือ อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจำลอง ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าอ่าวอันเป็นจุดชมวิวและจุดถ่ายรูปยอดนิยมของโอไดบะอีกวิวหนึ่ง

    Tokyo_23 Odaiba Overall 02 Tokyo_23 Odaiba Overall 03

    ภายในเกาะนั้นเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญๆ มากมาย อาทิ Fuji TV (www.fujitv.co.jp) สำนักงานใหญ่ที่ตัวตึกนั้นโดดเด่นมีเอกลักษณ์จนแทบจะเป็นสัญลักษณ์หลักอีกอย่างหนึ่งของโอไดบะเลยทีเดียว ซึ่งทรงกลมที่อยู่กลางตึกนั้นเราสามารถขึ้นไปชมวิวในมุมสูงได้อีกด้วย, ตึกที่โดดเด่นอีกตึกนั้นก็คือ National Museum of Emerging Science หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า Miraikan (www.miraikan.jst.go.jp) นั่นเอง นอกจากความทันสมัยของการออกแบบอาคารแล้วด้านในยังจัดแสดงนิทรรศการเทคโนโลยีของญี่ปุ่นไว้อย่างน่าสนใจ แล้วที่นี่ก็ยังเป็นสถานที่ที่จัดแสดงหุ่นยอดฮิตอย่าง Asimo อีกด้วย, อีกตึกที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ Tokyo Big Sight ศูนย์จัดแสดงนานาชาติของญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่และมีตัวตึกรูปทรงเรขาคณิตสุดล้ำอย่างเป็นเอกลักษณ์โดยที่นี่เป็นสถานที่จัดงานสำคัญๆ มากมาย อาทิ Tokyo Motor Show ไปจนถึง Tokyo International Anime Fair อันโด่งดังนั่นเอง Tokyo_23 Odaiba Overall 04 Tokyo_23 Odaiba Overall 05

    พูดถึงแหล่งเอ็นเตอร์เทนและแหล่งช้อปปิ้งกันบ้าง (ซึ่งส่วนใหญ่อยู่รวมกัน) สองตึกแรกที่แนะนำนั้นก็คือ Decks Tokyo Beach กับ Aquacity Odiba ที่อยู่ติดกัน และอยู่ด้านหน้าตึก Fuji TV นั่นเอง สำหรับ Decks Tokyo Beach (www.odaiba-decks.com) นั้นเป็นที่ตั้งของร้านรวงช้อปปิ้งมากมาย แต่สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่ซ่อนตัวอยู่ในนี้นั้นก็คือ LEGOLAND Discovery Center (www.legolanddiscoverycenter.jp) กับสวนสนุกเลโก้ในร่มที่สร้างสรรค์จากตัวต่ออันแสนคลาสสิกที่สุดในโลกนี้ ซึ่งภายในมีจัดแสดงตั้งแต่ตัวต่อเลโก้รูปต่างๆ ไปจึงถึงเครื่องเล่นมันส์ๆ ที่ราวกับเป็นตัวต่อขยายส่วน, Madame Tussauds Tokyo (www.madametussauds.com/tokyo) พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งอันมีชื่อเสียงของโลกสาขาโตเกียว, JOYPOLIS (tokyo-joypolis.com) สวนสนุกในร่วมที่มันส์ด้วยเทคโนโลยีล้ำๆ และโลกแห่งเกมส์ต่างๆ ที่มารวมกันไว้ในตึกเดียว, Tokyo Trick Art Museum (www.trickart.info) พิพิธภัณฑ์ภาพลวงทางศิลปะแห่งแรกของโลกที่กำลังฮิตไปทั่วโลกขณะนี้, แล้วของเด็ดที่ห้ามพลาดนั้นก็คือ Odaiba Takoyaki Museum ที่ยกพิพิธภัณฑ์ทาโกะยากิจากโอซาก้ามาเปิดสาขาที่โตเกียว ซึ่งในโซนนี้มีทาโกะยากิร้านดังจากคันไซหลายร้านมาเปิดความอร่อยกันแบบสดๆ ใหม่ๆ ในสูตรดั้งเดิมให้ได้ชิมกันจนเพลิน, สำหรับ Aquacity Odiba (www.aquacity.jp)นั้นนอกจากจะมีร้านช้อปปิ้งดังๆ มากมายแล้วด้านบนยังเป็นที่ตั้งของ Sony ExplorScience ให้เราได้ลองสัมผัสกับความสุขของเทคโนโลยีที่มีประสบการณ์แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร Tokyo_23 Odaiba Overall 06 Tokyo_23 Odaiba Overall 07 Tokyo_23 Odaiba Overall 08 Tokyo_23 Odaiba Overall 09 Tokyo_23 Odaiba Overall 10

    แหล่งช้อปปิ้งใน Odiaba นั้นยังมีอีกหลายจุด อย่าง 2 ห้างดังที่คนนิยมไปช้อปนั้นก็คือ Venus Front ที่มีร้านเก๋ๆ และที่สำคัญก็คือ Outlet ของแบรนด์ดังอยู่หลายร้าน ซึ่งห้างนี้อยู่บริเวณเดียวกันกับ Toyota Mega Web (www.megaweb.gr.jp) โชว์รูมและแหล่งเรียนรู้เทคโนโลยียานยนต์ขนาดใหญ่ครบวงจร แล้วก็ยังรวมไปถึงชิงช้าสวรรค์สายรุ้งที่เป็นสัญลักษณ์ดังของย่านนี้อีกด้วย, แต่ที่ขอบอกว่าห้ามพลาดเด็ดขาดนั้นก็คือ DiverCity Tokyo Plaza (www.divercity-tokyo.com) ที่อยู่ใจกลางเกาะ ห้างใหม่นี้เต็มไปด้วยร้านค้าทันสมัยเพียบ แต่จุดเด่นอันเป็นเสมือนแลนด์มาร์คใหม่ของโอไดบะนั้นก็คือหุ่นยนต์กันดั้มขนาดยักษ์ที่โด่งดังซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าห้าง และเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมที่สุดในขณะนี้ โดยด้านข้างนั้นนอกจากจะมีร้านขายหุ่นยนต์กันดั้มแบบเป็นทางการแล้วนั้น ก็ยังมี Gundam Café ที่กาแฟนั้นคัดสรรเป็นอย่างดี แถมแต่หน้าฟองนมให้เป็นรูปกันดั้มอีกด้วย แต่ถ้าใครอยากจะรู้จักกันดั้มมากขึ้นกว่านี้นั้นแนะนำให้ขึ้นไปที่ชั้น 7 เพราะด้านบนนั้นมี Gundam Front Tokyo ที่จัดแสดงหุ่นต่อพลาสติกหลายรุ่นหลายแบบรวมไปถึงพิพิธภัณฑ์กันดั้มที่จัดแสดงเรื่องราวของหุ่นยนต์ไว้อย่างน่าดูเชียวล่ะ

     

    Tokyo_23 Odaiba Overall 11 Tokyo_23 Odaiba Overall 12 Tokyo_23 Odaiba Overall 13

    โอไดบะ (Odaiba)

    ที่ตั้ง :เขตโอไดบะ, โตเกียว

    วิธีเดินทาง :

    ขั้นตอนที่ 1 :นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line, นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย A-Asakusa Line ลงที่สถานี G08/A10-Shimbahi / หรือนั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลมสีเขียว) ลงที่สถานี Shimbashi

    ขั้นตอนที่ 2 :เสร็จแล้วต่อรถไฟสาย Yurikamome Line ที่สถานี Shimbashi (สถานีเริ่มต้น) เพื่อข้ามไปยังโอไดบะ และเลือกลงสถานีที่ต้องการ

    เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

    Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 10สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวญี่ปุ่นเพราะหลงใหลให้ความสวยงามของบ้านเมืองและวัฒนธรรมการกินอยู่ต่างๆ คงไม่พลาดที่จะมาเยือนพิพิธภัณฑ์เมืองโบราณจำลองแห่งนี้ เพื่อทำความเข้าใจวิวัฒนาการกว่าจะมาเป็นกรุงโตเกียวที่เห็นในปัจจุบัน

    Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 08แหล่งศึกษาประวัติศาสตร์ชนชาติโตเกียว ‘Edo-Tokyo Museum’ หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านเมืองโบราณจำลองและวิวัฒนาการของโตเกียว แห่งนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งความรู้ที่จัดแสดงนิทรรศการย้อนอดีตไปตั้งแต่สมัยยุคเอโดะ (Edo period) ราวปี ค..1603-1867 จนกระทั่งวิวัฒนาการสู่โตเกียวยุคปัจจุบัน สำหรับตัวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค..1993 แถมยังมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ซึ่งได้แรงบันดาลใจการออกแบบอันล้ำสมัยมาจากรูปทรงของยุ้งฉางโบราณตามสถาปัตยกรรมแบบ Kurazukuri Style อันเป็นที่นิยมในสมัยเอโดะนั่นเอง

    Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 09

    ความโดดเด่นอีกอย่างก็คือพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ลอยเหนือขึ้นไปอยู่ด้านบน เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนที่ราวกับท่อย้อนอดีตขึ้นสู่ด้านบนนั้นเราจะพบกับโถงขนาดยักษ์ที่จัดแสดงองค์ความรู้ต่างๆ ไว้อย่างสวยงามน่าตื่นตะลึง ซึ่งเริ่มแรกนั้นเราจะถูกต้อนรับด้วยสะพานไม้จำลองโบราณเท่าขนาดจริงอันหมายถึงสะพานนิฮอนบาชิ (Nihonbashi Bridge) อันเป็นสะพานเก่าแก่ชื่อดังแห่งชุมชนเอโดะในยุคก่อนนั่นเอง ซึ่งสะพานดั้งเดิมนั้นถูกสร้างขึ้นในราวปี ค..1590 ในคราวที่โชกุน Tokugawa Ieyasu สร้างเมืองเอโดะขึ้นเป็นครั้งแรก

    Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 03

    Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 05เอกลักษณ์ของนิทรรศการหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการจำลองเมืองเหมือนจริงในยุคอดีตซึ่งนอกจากจะจำลองอาคารบ้านเรือนตลอดชุมชนในยุคก่อนอย่างสมจริงแล้ว เสน่ห์อีกอย่างก็คือการจำลองคนที่ปั้นออกมาเป็นหุ่นขนาดเล็กในอิริยาบถต่างๆ จำนวนมากเพื่อแสดงให้เห็นภาพของวิถีชีวิตในยุคก่อนได้อย่างชัดเจนที่สุด

    Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 06

    นอกจากนี้ภายในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณ, หนังสือโบราณ, รวมไปถึงจำลองโรงละครขนาดใหญ่ไว้ในโซนนักพักผ่อน ซึ่งเป็นจุดตรงกลางที่จะเชื่อมจากเมืองเอโดะยุคเก่าไปสู่เมืองโตเกียวยุคใหม่ ซึ่งโซนของโตเกียวนั้นก็มีการจัดนิทรรศการไว้อย่างดีเยี่ยม มีการจัดแสดงพัฒนาการของเมือง ตลอดจนจัดแสดงข้าวของต่างๆ ที่มีคุณค่าต่อการสร้างชาติให้รุ่งเรืองอีกด้วย

    Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 07

    Edo-Tokyo Museum

    ที่ตั้ง : 1-4-1 โยโกะอะมิ, เขตสุมิดะ, โตเกียว

    เปิดปิด :.-อา. 09.30-17.30 . (วันเสาร์เปิดบริการถึง 19.30 .) / หยุดวันจันทร์

    ค่าบริการ :ผู้ใหญ่ 600 เยน / นักเรียนประถมมัยธม 300 เยน / นักศึกษา 480 เยน / ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) 300 เยน

    ติดต่อ/ข้อมูล : 03-3626-9974 / www.edo-tokyo-museum.or.jp

    วิธีเดินทาง :

    >วิธีที่ 1 :นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู) ลงสถานี E12-Ryogoku ทางออก A3, A4 (Exit A3, A4)

    >วิธีที่ 2 :นั่งรถไฟ JR สาย Sobu Line (สายสีเหลือง) ลงสถานี Ryogoku ทางออก West Exit

     Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 01

    Tokyo_22 Edo Tokyo Museum 02