Ad
Ad
Ad
Tag

ที่เที่ยวโตเกียว

Browsing

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 03

 

โดราเอมอนถือเป็นตัวการ์ตูนอมตะที่คนทุกเพศทุกวัยรู้จักกันเป็นอย่างดีทั่วโลก ซึ่งผู้ที่ให้กำเนิดลายเส้น เรื่องราว และชีวิตชีวาของเจ้าแมวเหมียวตัวกลมสีฟ้านี้ก็คือนักเขียนมือฉมังของญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่างอาจารย์ Fujiko F. Fujio นั่นเอง และสำหรับแฟนโดราเอม่อนไปจนถึงแฟนการ์ตูนของอาจารย์นั้นก็ต้องไปเยือนพิพิธภัณฑ์ FUJIKO F. FUJIO ที่นับว่าเป็นหนึ่งในที่เที่ยวโตเกียวที่ไม่ควรพลาด เพราะนี่คือโลกการ์ตูนอันยิ่งใหญ่ที่เราจะประทับใจไม่รู้ลืมเลยทีเดียว

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 01

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือ Fujiko F. Fujio Museum หรือที่ถูกเรียกกันเป็นชื่อเล่นติดปากว่า Doraemon Museum นั้น ได้หยิบเอานามปากกาของนักเขียนชื่อดังอย่าง ฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะ มาเป็นชื่อพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอันที่จริงแล้วที่นี่ก็คือหอประวัติของอาจารย์ฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะนั่นเอง เพราะเรื่องราวที่จัดแสดงทั้งหมดนั้นไม่มีเพียงแต่เรื่องของโดราเอมอนเท่านั้น แต่ยังมีการ์ตูนอีกหลายๆ เรื่องที่ถือกำเนิดโดยฝีมืออาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะคนนี้

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 02

นอกจากลายเส้นต้นฉบับหลายๆ เรื่องที่แทรกการเล่าที่ไปที่มาได้อย่างน่าสนใจแล้วนั้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังสอดแทรกเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของอาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะไว้อย่างน่าทำความรู้จักอีกด้วย หลากหลายมุมนั้นเป็นมุมที่เราไม่เคยรู้ที่ไหนมาก่อน อย่างเช่น ข้าวของเครื่องใช้ที่อาจารย์รัก, หนังสือการ์ตูนวาดมือเล่มแรกในชีวิตที่อาจารย์สร้างสรรค์ขึ้นเองทั้งเล่ม, ต้นฉบับการ์ตูนเรื่องเบนเฮอร์ในแบบฉบับเฉพาะตัวที่ปรมจารย์การ์ตูนระดับโลกอย่าง Osamu Tezuka ถึงกับเอ่ยปากชม (ในขณะนั้นอาจารย์ฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่), ไปจนถึงเรื่องราวของครอบครัวตลอดจนงานอดิเรกที่อาจารย์ชอบอีกด้วย

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 04

พ้นจากโซนนิทรรศการเจ๋งๆ แล้วเราก็จะออกมาพบโซนโลกแห่งความหรรษากันล่ะ (โดยเฉพาะเด็กๆ) เพราะตรงจุดนี้มีเกมส์หลายแบบให้ลองเล่น, มีมุมการ์ตูนโดราเอม่อนและเรื่องอื่นๆ ไว้ให้อ่านฟรี (ภาษาญี่ปุ่น), แล้วก็มีโรงฉายภาพยนตร์ขนาดเล็กที่ฉายการ์ตูนพิเศษต่างๆ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์จะคัดเลือกหมุนเวียนกันมาแสดง, และที่พลาดไปไม่นั้นเห็นจะเป็นชั้นดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นร้านอาหารอร่อยๆ ที่หยิบเอาคาแร็คเตอร์การ์ตูนใส่ไปในแต่ละเมนูได้น่ารักน่ากินทั้งนั้น รวมไปถึงขนมของฝากที่หยิบเอาไอเดียในการ์ตูนมาใส่ไว้อย่างน่าซื้อทีเดียว

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 05

 

แต่โซนที่ทุกคนประทับใจและจะต้องแวะเวียนมาถ่ายรูปมากที่สุดก็คือโซนสนามหญ้าบนดาดฟ้าที่ติดกับภูเขานั่นเอง ซึ่งบริเวณนี้จะตัวการ์ตูนตลอดจนฉากหลายๆ ตอนอันเป็นเอกลักษณ์มาตั้งวางไว้จัดเป็นสวนสาธารณะขนาดย่อม ตั้งแต่ประตูวิเศษของโดราเอมอน, โดราเอมอนและโนบิตะขี่ไดโนเสาร์, ปาร์แมนกับเจ้าลิงจ๋อนอนชิลล์อาบแดด, และที่พลาดไม่ได้ก็คือฉากท่อน้ำสามอันซ้อนอันเป็นฉากลานรวมพลอมตะที่ปรากฏอยู่ในโดราเอม่อนแถบทุกตอนนั่นเอง

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 08

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 07

 

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 09

ไม่เพียงแต่ตัวตึกของพิพิธภัณฑ์ที่ถูกออกแบบไว้อย่างทันสมัยและสวยงามแล้ว การจัดนิทรรศการด้านในยังถือว่าออกแบบได้ล้ำสมัยยอดเยี่ยมอีกด้วย อ้อ! สิ่งสำคัญนั้นอย่าลืมปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้งของที่ระลึกจากหลากหลายคาแร็กเตอร์ของอาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะล่ะ รับลองว่าน่าขนกลับบ้านทุกชิ้นเลยล่ะ

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 06

Tokyo_25 Fujio F Fujiko museum 10

Fujiko F. Fujio Museum (Doraemon Museum)

ที่ตั้ง: ต.ทามะ, เมืองคาวาซากิ, จังหวัดคานากาวะ

เปิด-ปิด: พ.-จ. 10.00-18.00 น. / หยุดวันอังคาร (ยกเว้นช่วง Golden Week 29 เม.ย.-5 พ.ค., ช่วงวันหยุดฤดูร้อน 20 ก.ค.-3 ธ.ค., และช่วงปลายปีรวมไปถึงวันหยุดปีใหม่ 30 ธ.ค.-3 ม.ค.)

รอบเวลาการเข้าชม : แบ่งเป็น 4 รอบต่อวัน คือ 10.00 น. / 12.00 น. / 14.00 น. / 16.00 น.

ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / นักเรียนมัยธม 700 เยน / เด็ก (4 ขวบขึ้นไป) 500 เยน / เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 3 ปี) ฟรี

การจองตั๋ว: ไม่มีการจำหน่ายตั๋วที่หน้าพิพิธภัณฑ์ เราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติใน Lawson ทุกสาขา (สามารถเรียกให้พนักงานให้ช่วยเหลือได้) โดยเลือกวันและเวลาที่เราต้องการเข้าชม

ติดต่อ/ข้อมูล: 0570-055-245 / fujiko-museum.com

วิธีเดินทาง:
เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ Odakyu สาย Odakyu Odawara Line ลงสถานี Noborito ทางออก Tamagawa Exit ตรงจุดนี้หากเดินไปจะใช้เวลาราว 15-30 นาที (ดูแผนที่ในเว็บไซต์ได้) แต่ก็สามารถขึ้นรถเมล์ท้องถิ่นได้ ซึ่งสายที่จะไปพิพิธภัณฑ์นั้นรถจะจอดอยู่ด้านซ้ายสุด (ต้นสาย) มีจุดสังเกตง่ายๆ ก็คือจะเป็นรถที่หุ้มด้วยสติ๊กเกอร์โดราเอม่อนทั้งตัวรถ (ค่ารถ 200 เยน/เที่ยว)

ซื้อตั๋วพิพิธภัณฑ์โดราเอม่อนออนไลน์ ได้ที่นี่

หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกคลิกที่นี่

ชอบกด Like ใช่กด Share ^-^

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

แหล่งท่องเที่ยวโตเกียวสำหรับคนรักการ์ตูนญี่ปุ่นต้องที่พิพิธภัณฑ์ Ghibli Museum
Tokyo_24 Ghibli Museum 02

หากพูดถึง Animation Studio ที่มีชื่อเสียงในระดับสากลของญี่ปุ่นหลายคนคงนึกถึง Studio Ghibli ที่ผลิตผลงานภาพยนตร์การ์ตูนมาแล้วมากมายหลายต่อหลายเรื่อง แถมกวาดรางวัลมาจากหลายเวทีทั่วโลกอีกด้วย ถึงขนาดถูกขนานนามว่านี่คือวอลท์ดิสนีย์แห่งโลกตะวันออกเลยทีเดียว

Tokyo_24 Ghibli Museum 01

 

Studio Ghibli นั้นเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1985 โดย Hayao Miyazaki ผู้เป็นหัวเรือใหญ่และผู้ร่วมก่อตั้งอีกหลายคน ผลิตการ์ตูนที่มีชื่อเสียงออกมาหลายเรื่อง ที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ My Neighbor Totoro, Grave of the Fireflies, Spirited Away หรือแม้แต่ตัวการ์ตูนครึ่งปลาครึ่งคนที่น่ารักโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้อย่าง Ponyo นั่นเอง … หลังจากที่ประสบความสำเร็จจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก Studio Ghibli จึงได้มีแผนที่จะเปิดพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อให้คนเข้ามาสัมผัสโลกจินตนาการของจิบลิกันอย่างใกล้ชิด โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.2001 และได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

Tokyo_24 Ghibli Museum 03

 

พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) นั้นตั้งอยู่ติดกับสวนสาธารณะอิโนะคะชิระ (Inokashira Park) อันเป็นสวนสาธารณะชื่อดังที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของโตเกียวที่อยู่ในย่านเก๋ๆ อย่างย่าน คิชิโจจิ (Kichijoji) สำหรับโลโก้ของสตูดิโอที่เราคุ้นตานั้นก็คือเจ้าโตโตโร่ (Totoro) ตัวการ์ตูนชื่อดังในอนิเมชันเรื่อง My Neighbor Totoro นั่นเอง ซึ่งตัวการ์ตูนยักษ์อันน่ารักนี้ยังนั่งคอยต้อนรับเราอยู่ที่บริเวณทางเข้าของพิพิธภัณฑ์อีกด้วย สำหรับพิพิธภัณฑ์ตลอดจนตัวอาคารอันแปลกประหลาดนั้นก็เป็นฝีมือการออกแบบของหัวเรือใหญ่ Hayao Miyazaki โดยเป็นอาคารที่เขาเคยสเก็ตไว้ใช้ในการ์ตูนอันได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ผสมผสานกัน อาทิ หมู่บ้านบนยอดเขาของเมือง Calcata ในอิตาลีนั่นเอง

Tokyo_24 Ghibli Museum 04

 

ภายในอาณาจักรของจิบลินั่นชวนเราให้ตื่นตาสนุกสนานไปกับการออกแบบอาคารที่เหมือนพาเราหลุดสู่โลกแห่งจินตนาการ แต่ละชั้นนั้นจัดแสดงเรื่องราวมากมายของ Studio Ghibli ตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องหลักการแสงและภาพเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆ และน่าสนุก, การให้ความรู้เรื่อง animation, ห้องจำลองของนักเขียนการ์ตูนอันแสนมีเสน่ห์, ห้องฉายภาพยนตร์ขนาดเล็กที่ Studio Ghibli จะคัดสรรอนิเมชั่นสุดพิเศษหมุนเวียนมาฉายกันตลอดทั้งปี, ต้นฉบับการ์ตูนบางส่วน, แล้วจุดไฮไลท์หนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นก็คือการไต่บันไดไปยังชั้นดาดฟ้า ซึ่งตรงจุดนี้เสมือนสวนที่อยู่เหนือภูเขาที่ทำให้เราแทบไม่รู้สึกเลยว่ากำลังอยู่บนตึกใหญ่

Tokyo_24 Ghibli Museum 05

 

มาถึงตรงจุดชั้นดาดฟ้านี้อีกหนึ่งทีเด็ดที่ห้ามพลาดก็คือการถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กสำคัญซึ่งนั่นก็คือหุ่นเหล็กยักษ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก golem โดยหุ่นนี้ถอดแบบจิตนาการมาจากตัวการ์ตูนในภาพยนตร์ Laputa – Castel in the Sky ที่กำกับโดยหัวเรือใหญ่อย่าง Hayao Miyazaki นั่นเองล่ะ ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1986 แล้วมันก็ถือเป็นผลงานชิ้นแรกของ Studio Ghibli อีกด้วย

Tokyo_24 Ghibli Museum 07

 

 

 

ที่ตั้ง: ย่านคิชิโจจิ, เขตมิตากะ, โตเกียว

 

เปิด-ปิด: พ.-จ. 10.00-18.00 น. / หยุดวันอังคาร และวันหยุดอื่นๆ ตามประกาศของพิพิธภัณฑ์ (โปรดเช็คในเว็บไซต์อีกครั้งหนึ่ง)

 

รอบเวลาการเข้าชม: แบ่งเป็น 4 รอบต่อวัน คือ 10.00 น. / 12.00 น. / 14.00 น. / 16.00 น.

 

ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / นักเรียนมัยธม (13-18 ปี) 700 เยน / เด็ก (7-12 ปี) 400 เยน / เด็กเล็ก (4-6) 100 เยน / เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 4 ปี ลงมา) ฟรี

 

การจองตั๋ว: ไม่มีการจำหน่ายตั๋วที่หน้าพิพิธภัณฑ์ เราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติใน Lawson ทุกสาขา (สามารถเรียกให้พนักงานให้ช่วยเหลือได้) โดยเลือกวันและเวลาที่เราต้องการเข้าชม

 

ติดต่อ/ข้อมูล: www.ghibli-museum.jp

 

วิธีเดินทาง:

 

>วิธีที่ 1 : เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ JR สาย JR Chuo Line (สีส้มแดง) ลงสถานี Kichijoji ออกทาง South Exit (Park Exit) เสร็จแล้วสามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ได้โดยใช้เวลาราว 15 นาที

 

>วิธีที่ 2 : เริ่มต้นที่สถานี Shinjuku นั่งรถไฟ JR สาย JR Chuo Line (สีส้มแดง) ลงสถานี Mitaka (ถัดจาก Kichijoji อีก 1 สถานี) ออกทาง South Exit เสร็จแล้วสามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ได้เช่นกันโดยใช้เวลาราว 15 นาที / หรือไปที่ Bus Stop #9 สามารถนั่งรถประจำทางท้องถิ่นไปยังพิพิธภัณฑ์ได้อีกด้วย (ราคาค่าโดยสารเที่ยวเดียว 200 เยน / ไป-กลับ 300 เยน)

 

 

 

 

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 01

พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace) เป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิญี่ปุ่นตลอดจนราชวงศ์อิมพีเรียล พระราชวังองค์ปัจจุบันนั้นตั้งอยู่บนที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทเอโดะมาก่อนซึ่งในสมัยนั้นครองโดยโชกุนโตกุกาวะ (Tokugawa Shogunate) ผู้ที่ปกครองญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ.1603-1867 จนภายหลังนั้นระบบโชกุนได้ถูกล้มล้างอำนาจจนล่มสลายลงเพื่อเปลี่ยนระบบการปกครองใหม่ ราชวงศ์อิมพีเรียลจึงได้ย้ายจากเกียวโตมาประทับที่โตเกียวแทนในปี ค.ศ.1868 โดยได้สร้างพระราชวังใหม่ขึ้นบนพื้นที่นี้และแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1888

Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 04

พื้นที่ขนาดใหญ่นั้นรายรอบไปด้วยคูน้ำอันกว้างขวาง ป้องกันด้วยปราการกำแพงหินอันสูงชันและแข็งแกร่ง ภายในบริเวณพระราชวังนั้นไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าไปชม เว้นแต่ในวันที่ 2 มกราคม วาระของวันขึ้นปีใหม่ และวันที่ 23 ธันวาคม อันเป็นวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีเพียงสองวันนี้เท่านั้นที่จะเปิดให้ประชาชนเข้าไปด้านในเพื่อชื่นชมพระบารมีของพระจักรพรรดิและเหล่าราชวงศ์ที่จะทรงออกมาทักทายประชาชนของพระองค์อันถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกปี

จุดยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวนั้นเห็นจะเป็นบริเวณโซนด้านหน้าพระราชวังที่เรียกว่านิจูบาชิ (Nijubashi) ซึ่งแปลว่า Double Bridge หรือ สะพานคู่ ซึ่งบริเวณนี้จะมีสะพานเหล็กที่อยู่ด้านหลังเพื่อเชื่อมเข้าเขตพระราชวัง และสะพานหินที่อยู่ด้านหน้าเพื่อเชื่อมต่อสู่สะพานเหล็ก (ที่มักปรากฏในรูปถ่ายนั่นเอง) ซึ่งสะพานด้านหน้านี้มักนิยมเรียกกันว่าเมกะเนะบาชิ (Meganebashi) หรือแปลความหมายได้ว่าสะพานแว่นตา ซึ่งมาจากภาพสะท้อนน้ำของโค้งหินสองอันนั่นเอง

Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 02

อีกบริเวณหนึ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือ Imperial Palace East Gardens ที่อยู่โซนด้านหลังพระราชวังซึ่งตรงจุดนี้จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมพระราชฐานด้านในได้ตลอดทั้งปี (ยกเว้นวันจันทร์, วันศุกร์, และตามประกาศของรางวัง) ด้านในนั้นจะมีการจัดสวนในสไตล์ญี่ปุ่นไว้อย่างงดงาม ซึ่งความจริงแล้วบริเวณนี้ก็คือสถานที่ตั้งดั้งเดิมของปราสาทเอโดะนั่นเอง และบริเวณนี้เรายังสามารถเห็นซากรากฐานดั้งเดิมของปราสาทเอโดะที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ซึ่งปราสาทแห่งนี้เดิมสร้างขึ้นเมื่อราว ปี ค.ศ.1638 และเคยเป็นปราสาทที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย แต่ภายหลังจากนั้นไม่กี่ปีมันก็ถูกไฟไหม้อันเนื่องมาจากเหตุอัคคีภัยเผาเมืองครั้งใหญ่ในราวปี ค.ศ.1657 และหลังจากนั้นปราสาทแห่งนี้ก็ไม่เคยถูกสร้างขึ้นใหม่อีกเลย คงหลงเหลือแต่รากฐานไว้ให้ดูต่างหน้าซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเราได้เห็นรากฐานนี้ก็สามารถที่จะจินตนาการความยิ่งใหญ่ในอดีตได้ไม่ยากเช่นกัน อ่านรีวิวพาเที่ยวสวน Imperial Palace East Gardens ได้ที่นี่

 Tokyo_14 Tokyo Imperial Palace 03

พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace)

ที่ตั้ง : เขตชิโยดะ, โตเกียว

เปิด-ปิด : จุดชมสะพานตลอด 24 ชม. / สวน Imperial Palace East Gardens > 09.00-16.00 น. (เวลาโดยเฉลี่ย / โปรเช็คเวลาละเอียดในแต่ละเดือนอีกครั้ง), หยุดวันจันทร์ และศุกร์

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย M-Marunouchi Line (สีแดง) ลงสถานี M17-Tokyo ทางออก 6, D2 (Exit 6, D2)

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา),สาย C-Chiyoda Line ลงสถานี H7/C9-Hibiya ทางออก B6 (Exit B6)

>วิธีที่ 3 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย C-Chiyoda Line (สีเขียว) ลงสถานี C10-Nijubashimae ทางออก 2, B6 (Exit 2, B6)

>วิธีที่ 4 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย I-Mita Line (สีน้ำเงิน) ลงสถานี I08-Hibiya ทางออก B6 (Exit B6)

>วิธีที่ 5 : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลม-สีเขียว), Keihin-Tohoku Line (สีฟ้า) ลงสถานี Tokyo ทางออก Marunouchi Central Exit

 

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

Tokyo_13 Tokyo Tower 02

ถึงแม้ว่าปัจจุบันหอคอยน้องใหม่อย่างโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) จะมารับหน้าที่แทนหอคอยโตเกียวในหลายๆ บทบาทไปจนถึงการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งใหม่ที่ใครๆ ก็อยากมาเยือน แถมชิงตำแหน่งหอคอยที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นไปครองแทน แต่หอคอยโตเกียวนั้นก็ไม่จางหายไปจากใจคนญี่ปุ่น ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตเช่นเคย แล้วก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์อมตะแห่งการสร้างชาติให้รุ่งเรืองที่ยังอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม

Tokyo_13 Tokyo Tower 03

หอคอยโตเกียวนั้นสร้างเสร็จเมื่อราวปี ค.ศ.1958 เป็นหอคอยเหล็กกล้าที่มีความสูงกว่า 333 เมตร ซึ่งนั่นเป็นความตั้งใจที่จะสร้างหอคอยให้สูงและยิ่งใหญ่กว่าหอไอเฟลที่เป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบของการสร้างหอคอยแห่งนี้ นั่นยังไม่รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในการก่อสร้างด้านต่างๆ รวมไปถึงวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่คิดค้นขึ้นเป็นพิเศษ ที่นอกจากจะทำให้สร้างหอคอยได้อย่างรวดเร็วกว่าหอไอเฟลแล้ว น้ำหนักโดยรวมของโครงเหล็กมหึมานี้ยังเบากว่าหอไอเฟลอีกด้วย เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อการต้องการประกาศศักยภาพของประเทศญี่ปุ่นบนเวทีโลกให้โลกได้รับรู้ว่าญี่ปุ่นก็ไม่เป็นรองชาติตะวันตกใดๆ เช่นกัน และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งศูนย์รวมจิตใจของการสร้างชาติ ฟื้นฟูพัฒนาประเทศครั้งสำคัญภายหลังจากที่ญี่ปุ่นถูกทำลายจากสงครามโลกครั้งที่สองจนย่อยยับนั่นเอง

Tokyo_13 Tokyo Tower 01

ภายหลังจากที่หอคอยโตเกียวสร้างเสร็จ มันกลายเป็นโครงสร้างที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นและในเอเชียในขณะนั้นเลยทีเดียว หน้าที่หลักของหอคอยแห่งนี้ก็คือการเป็นหอคอยสื่อสารที่ใช้ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ต่างๆ มากมาย อาทิ NHK, FUJI TV, TBS เป็นต้น แล้วมันก็ยังทำหน้าที่ต้อนรับแขกด้วยการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้คนจากทั่วโลกแวะมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย โดยด้านบนหอคอยนั้นเปิดให้เราขึ้นไปเยี่ยมชมได้ 2 ระดับ ระดับแรกคือชั้นชมวิวหลัก (Main Observatory) ที่ระดับความสูง 250 เมตร ชั้นนี้เราสามารถเดินชมวิวโตเกียวจากมุมสูงได้รอบหอคอยแบบ 360 องศา

Tokyo_13 Tokyo Tower 05

Tokyo_13 Tokyo Tower 06

นอกจากนั้นก็ยังมีคาเฟ่เล็กๆ สไตล์ฝรั่งเศสอย่าง Café la Tour และ Club 333 เวทีดนตรีชิลๆ ยามค่ำ ตลอดจนร้านขายของที่ระลึกให้เราช้อปของฝากจากโตเกียวติดไม้ติดมือกลับบ้านได้อีกด้วย แต่ถ้าใครอยากชมวิวในมุมที่สูงขึ้นไปอีกก็สามารถซื้อตั๋วขึ้นไปยังจุดชมวิวชั้นพิเศษ (Special Observatory) ที่ระดับ 250 เมตร ได้ซึ่งจุดชมวิวด้านบนนั้นสามารถเดินชมวิวเมืองในมุมสูงได้แบบ 360 องศาเช่นกัน และถูกยกย่องว่าเป็นจุดชมวิวเมืองโตเกียวที่สวยที่สุดอีกด้วย

Tokyo_13 Tokyo Tower 04

หอคอยโตเกียว (Tokyo Tower)

ที่ตั้ง : เขตมินาโต๊ะ, โตเกียว

เปิด-ปิด : ทุกวัน ชั้น Main Observatory (150 เมตร) 09.00-22.00 น. / ชั้น Special Observatory (250 เมตร) 09.00-21.30 น.

ค่าบริการ :

>ชั้น Main Observatory (150 เมตร) : ผู้ใหญ่ 820 เยน / เด็กประถม-มัธยมต้น 460 เยน / เด็กเล็ก (4 ขวบขึ้นไป) 310 เยน

>ชั้น Special Observatory (250 เมตร) : ผู้ใหญ่ 600 เยน / เด็กประถม-มัธยมต้น 400 เยน / เด็กเล็ก (4 ขวบขึ้นไป) 350 เยน

หมายเหตุ 1 : หากไม่ซื้อตั๋วรวมทั้งสองชั้นตั้งแต่ตอนแรก สามารถซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปยังชั้น Special Observatory ได้ที่ชั้น Main Observatory   

โตเกียวเป็นมหานครขนาดใหญ่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวตลอดจนสิ่งน่าสนใจอยู่มากมาย แต่สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของโตเกียวที่ห้ามพลาดนั้น “รู้จริงญี่ปุ่น” คัดมาแนะนำดังนี้

1. Tokyo Skytree : หอคอยอันตระหง่านแห่งใหม่แห่งมหานครโตเกียวที่สูงกว่า 634 เมตร ครองตำหน่งหอคอยที่สูงที่สุดในโลกและสถาปัตยกรรมที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ด้านบนนั้นเปิดให้ขึ้นไปชมวิวในมุมสูงได้ 2 ระดับ คือที่ระดับความสูง 350 เมตร และที่ระดับความสูง 450 เมตร โดยสามารถเห็นเมืองโตเกียวในมุมสูงได้แบบ 360 องศา รวมไปถึงสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้วย อ่านรีวิว Tokyo Skytree ได้ที่นี่

Tokyo_06 Top 5 Tokyo Attractions 01 Tokyo Skytree

2.อะซะกุซะ (Asakusa) : ย่านอะซะกุซะนั้นยังคงเป็นย่านท่องเที่ยวยอดฮิตยอดนิยมอยู่ไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะการแวะไปสักการะวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียวอย่างวัดเซนโซ (Sensoji) ถ่ายรูปกับโคมแดงยักษ์อันมีชื่อเสียงที่ประตูคามินาริมอน (Kaminarimon Gate) จนกระทั่งช้อปปิ้งของที่ระลึกและชิมของอร่อยที่นากะมิเซะ (Nakamise) อันถือว่าเป็นตลาดแห่งแรกของโตเกียวเลยก็ว่าได้ อ่านรีวิวเที่ยววันเซนโซ (Sensoji) ได้ที่นี่

Tokyo_06 Top 5 Tokyo Attractions 02 Asakusa

3. ซึกิจิ (Tsukiji Fish Market): ตลาดปลาที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกนี้มีชีวิตชีวาต้อนรับนักท่องเที่ยวกันแต่เช้าตรู่ การเดินเที่ยวตลาดสดแบบโตเกียวนั้นสนุกและน่าตื่นเต้นทีเดียว แต่ว่ากิจกรรมที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเมื่อมาเยือนตลาดนี้ก็คือการเสาะหาของอร่อยๆ กินโดยเฉพาะซูชิที่ทำจากปลาสดๆ หลากชนิดที่ถือว่ารสเยี่ยมอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว อ่านรีวิวพาเที่ยวตลาดปลาซิกิจิและแนะนำร้านอร่อยที่ตลาดปลาได้ที่นี่

Tokyo_06 Top 5 Tokyo Attractions 03 Tsukiji

4. ย่านชิบุยา (Shibuya Area) : อาณาเขต Shopping & Lifestyle ที่ใหญ่และน่าเดินที่สุดนั้นคงต้องยกนิ้วให้ย่านชิบุย่าทั้งย่านซึ่งเราสามารถเดินช้อปทะลุถึงกันได้ทั้งหมด (เหนื่อยหน่อยแต่สนุกและคุ้มค่า) สำหรับย่านนี้มีอาณาเขตติดต่อกันชนิดที่ว่าเดินทะลุถึงกันได้นั้นก็ตั้งแต่ย่านหลักย่านใหญ่อย่างชิบุยา (Shibuya) ที่สามารถเดินต่อมายัง cat street สู่ย่านอะโอยาม่า (Aoyama) หรือตรงสู่โอโมเตะซานโด (Omotesando) ย่านเก๋หรูหราที่ได้รับฉายาว่า Tokyo’s Champs-Élysées ได้อย่างเพลินๆ ต่อจากนั้นอาจเดินช้อปผ่านตรอกซอกซอยจนไปถึงย่านฮาราจูกุ (Harajuku) ได้อย่างชิลล์ๆ เชียวล่ะ แล้วแถมท้ายการช้อปปิ้งด้วยการแวะไปสักการะศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) อันโด่งดังได้อีกด้วย

Tokyo_06 Top 5 Tokyo Attractions 04 Shibuya

5. สวนอุเอโนะ (Ueno Park) : สวนสาธารณะอันยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นซึ่งภายในมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมายตั้งแต่ศาสนสถาน (อาทิ วัดคันเอจิ, ศาลเจ้าโทโชกุ), พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (Tokyo National Museum, National Science Museum), พิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Tokyo Metropolitan Art Museum, National Museum of Western Art), สวนสัตว์ (Ueno Zoo), ตลอดจนคาเฟ่เก๋ๆ และการแสดง Street Performance ที่น่าสนใจมากมาย แล้วยิ่งถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิที่ดอกซากุระเบ่งบานนั้นสวนอุเอโนะแห่งนี้ยังถือเป็นที่ชมซากุระยอดฮิตอีกด้วย อ่านรีวิวพาเที่ยวสวนอุเอโนะได้ที่นี่

Tokyo_06 Top 5 Tokyo Attractions 05 Ueno Park

เรื่องและภาพ โดย สวาเก้น

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 01

ตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji Fish Market) น่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพียงแห่งเดียวในโตเกียวที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องตื่นแต่เช้าตรู่ในยามที่แสงแดดยังไม่ส่องเสียด้วยซ้ำ และคงจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งเดียวที่มาเยือนได้ตั้งแต่ราวๆ ตี 4

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 02 รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 03

ตลาดปลาซึกิจิ (หรือบางทีก็เขียนว่า “สึกิจิ”) นั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอันดับต้นๆ ของโตเกียวที่ใครๆ ก็ปักหมุดว่าต้องมาเยือน ความจริงแล้วชื่ออย่างเป็นทางการของที่นี่นั้นก็คือ ตลาดขายส่งกลางนครโตเกียว (Tokyo Metropolitan Central Wholesale Market) เปิดบริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1935 ตลาดปลาแห่งนี้ถือว่าเป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แถมยังเป็นตลาดค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ปลาสดๆ จะขึ้นที่ท่านี้และถูกส่งไปยังทั่วโลก ความคึกคักในตลาดนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ราวๆ ตี 4 ที่จะมีการเปิดตลาดขายปลาและอาหารทะเล รวมไปถึงกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดกิจกรรมหนึ่งอย่างตลาดประมูลปลาทูน่าที่อยู่ด้านในสุดนั่นเอง ซึ่งตลาดนี้จะคึกคักวุ่นวายกันตั้งแต่เช้ามืดเพื่อให้ทันการส่งปลาไปยังที่ต่างๆ รวมถึงนอกประเทศญี่ปุ่นด้วย แต่สำหรับโซนนี้จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้จริงๆ ก็หลังเวลา 09.00 น. เท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการทำงานของเจ้าหน้าที่และผู้ซื้อขายนั่นเอง

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 05รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 06

ตลาดปลาซึกิจินั้นมีแหล่งให้ซอกแซกซอกซอนน่าสนใจมากมายทีเดียว เริ่มจากนอกตลาดที่จะมีร้านค้าขายของสารพัดอย่างโดยเฉพาะข้าวของที่เกี่ยวกับการครัวไปจนถึงเครื่องปรุงต่างๆ แถมยังมีร้านที่เปิดขายของอร่อยๆ อารมณ์  Street Food แทรกตัวอยู่อีกเพียบ อีกโซนยอดฮิตนั้นก็คือโซนด้านในตลาด ตรงนี้จะเป็นตลาดสดขายอาหารทะเลสดๆ ที่มีให้เลือกหลากหลายร้านกันเลยทีเดียว แล้วกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ก็คือการตะลุยชิมความสดอร่อยโดยเฉพาะโซนยอดฮิตด้านหน้าตลาดปลาที่เป็นแหล่งรวมร้านอร่อยขึ้นชื่อแห่งโตเกียวมากมาย เอาเป็นว่าเรามีตัวอย่างมาชวนชิมกัน…

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 04

ร้านซูชิได (Sushi Dai) คือ ร้านซูชิอันดับหนึ่งที่ห้ามพลาด เพราะร้านนี้ถือว่าโด่งดังมากที่สุดในตลาดนี้แถมยังโด่งดังระดับโลก ที่นอกจากวัตถุดิบจะสดใหม่มากๆ แล้วฝีมือของซูชิเชฟยังถือเป็นตัวดึงดูดให้คนแวะมาชิมกันไม่ขาดสาย โดยเชฟจะบรรจงทำข้าวปั้นกับปลาหน้าต่างๆ ในสูตรพิเศษเฉพาะตัวให้ทานกันแบบคำต่อคำเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าร้านจะเปิดตั้งแต่เช้าตรู่ราวๆ ตี 5 แต่ทว่าจะมีคนตื่นมาต่อแถวกันตั้งแต่ราวๆ ตี 4 กันเชียวล่ะ แล้วแถวอันยาวเหยียดนี้ก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอดทั้งวัน ซึ่งค่าเฉลี่ยของการรอชิมของอร่อยนั้นก็อยู่ที่ราวๆ 3 ชั่วโมง แต่ก็ขอบอกว่าอร่อยคุ้มค่าแก่การรอคอยเชียวล่ะ

ที่ตั้ง : อยู่ในซอยตึกแถวหมายเลข 6

เปิด-ปิด : 05.00-14.00 น. ปิดวันอาทิตย์และวันหยุดของตลาดปลา

ราคา : มีให้เลือก 2 เซ็ต คือ Jyou แบบ 7 ชิ้น ราคา 2,500 เยน และ Omakase แบบ 11 ชิ้น ราคา 3,900 เยน)

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 14 Sushi Dai

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 07 Sushi Dai

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 08 Sushi Dai

ร้าน โยเนะฮานะ อุนาหงิ (Yonehana Unagi) คือ ร้านข้าวหน้าปลาไหลที่ต้อนรับด้วยภาษาไทย เพราะมีชาวไทยเป็นขาประจำที่ตลาดซึกิจินี้มากมาย ร้านข้าวหน้าปลาไหลร้านนี้ก็เลยมีภาษาไทยเขียนต้อนรับไว้หน้าร้านอย่างน่ารักซะด้วยสิ ไม่นับเจ้าของร้านที่พอพูดไทยได้นิ๊ดหน่อยที่จะทำให้มื้อนี้ของเราสนุกขึ้นทีเดียว ร้านที่ว่านี้ก็คือ ร้านข้าวหน้าปลาไหลอินเตอร์ที่มีเสน่ห์ด้วยการเขียนลายมือเชื้อเชิญเป็นภาษาต่างๆ อยู่หน้าร้าน แน่นอนว่าเมนูเด็ดก็คือข้าวหน้าปลาไหลที่นำปลาสดใหม่มาปรุงในแบบฉบับเฉพาะตัวที่อร่อยทีเดียว

ที่ตั้ง : อยู่ในซอยตึกแถวหมายเลข 8

เปิด-ปิด : 05.00-15.00 น. ปิดวันอาทิตย์และวันหยุดของตลาดปลา

ราคา : เริ่มต้นที่ราวๆ 1,500 เยน

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 09 ข้าวหน้าปลาไหล รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 10 ข้าวหน้าปลาไหล

ซึคิจิ ยามาโชว (Tsukiji Yama-Chou) คือ ร้านไข่หวานยอดนิยม ที่แม้ภายในบริเวณตลาดซึคิจินั้นมีร้านขายไข่หวานอยู่หลายร้าน แต่ร้านที่มีชื่อเสียงยอดนิยมหน่อยเห็นจะเป็นร้านไข่หวานเสียบไม้พร้อมหม่ำที่ชื่อ “ซึคิจิ ยามาโซว”  ที่อยู่โซนด้านนอกตลาด ร้านไข่หวานเสียบไม้ร้านนี้ใหญ่โตและมีคนต่อแถวพอสมควร ไข่หวานที่คล้ายๆ กับไข่เจียวนั้นถูกทำอย่างพิถีพิถันในแบบเฉพาะตัว ไข่นุ่ม หอมกรุ่น ราดน้ำจิ้มรสเยี่ยม ทำให้ชวนติดใจในรสชาติยิ่งนัก

ที่ตั้ง : อยู่โซนนอกตลาดด้านข้างบริเวณทางเข้า

เปิด-ปิด : ทุกวัน 06.00-15.30 น.

ราคา : ไม้ละ 100 เยน

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 11 ไข่หวาน

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 12 ไข่หวาน

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_05 Tsukiji 13 ไข่หวาน

ตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji Fish Market)

ที่ตั้ง : แขวงซึกิจิ, เขตชูโอ, โตเกียว

เปิด-ปิด : ตลาดเปิดราวๆ 04.00 น. ในส่วนของตลาดปลาจะวายราวๆ 10.00 น. แต่ในส่วนของร้านค้าโดยรอบอาจเปิดถึงตอนบ่ายไปจนกระทั่งค่ำ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน / ตลาดปิดวันอาทิตย์ และวันหยุดตามปฎิทินญี่ปุ่น

วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี H10-Tsukiji ทางออก 1 (Exit 1) เสร็จแล้วเดินไปตามถนนอีกราว 5-10 นาที

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย E-Oedo Line (สีชมพู) ลงสถานี E18-Tsukijishijo ทางออก A1)

 

เรื่องและภาพโดย สวาเก้น
รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_03 Robot Restaurant, Shinjuku 02

วันนี้เรามีของใหม่มาแนะนำกับ Robot Restaurant แหล่งบันเทิงแกะกล่องใจกลางย่าน Kabukicho แหล่งเริงร มย์ยามค่ำคืนชื่อดังแห่งชินจูกุ กลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ซึ่งร้านอาหารกึ่งโชว์การแสดงนี้เขาประกาศตัวเองว่าเป็นโชว์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนโลกใบนี้อีกด้วยล่ะ ใครแวะมาเที่ยวญี่ปุ่นต้องห้ามพลาด

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_03 Robot Restaurant, Shinjuku 01

ขึ้นชื่อว่า Robot Restaurant นั้นจริงๆ แล้วหลายคนอาจคิดถึงภาพร้านอาหารที่มีหุ่นยนต์เสิร์ฟอย่างที่เคยมีข่าวมาแล้วหลายที่เป็นแน่ แต่อันที่จริงแล้ว Robot Restaurant นั้นก็คือความบันเทิงรูปแบบใหม่ที่ออกมาในสไตล์โชว์การแสดงแกล้มอาหาร(กล่อง)มากกว่า แล้วถ้าหากดูชื่อย่านและเวลาการจัดแสดงแล้วก็พอจะรู้ว่าสถานบันเทิงแห่งนี้ออกแนวเป็นแหล่งสร้างสีสันยามค่ำคืนที่บวกกับความวาบหวิวพอหอมปากหอมคอ

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_03 Robot Restaurant, Shinjuku 03 รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_03 Robot Restaurant, Shinjuku 04

Robot Restaurant นั้นซ่อนตัวอยู่ในตึกเล็กๆ แห่งหนึ่งใจกลางย่านบันเทิงยามราตรีอย่างคาบูกิโชวที่ได้รับการตกแต่งอย่างมีสีสันล้ำสมัย สถานที่แสดงโชว์นั้นดูออกจะคล้ายกับการนั่งแข่งเกมโชว์อย่างไรอย่างนั้นเสียมากกว่า โดยผู้เข้าชมนั้นจะถูกจัดให้นั่ง (แบบมีหมายเลขที่นั่ง) บนแสตนด์แคบๆ 2 ข้าง พื้นที่ตรงกลางที่กว้างราวๆ 3 เมตร ยาวประมาณ 10 เมตร เป็นเหมือนรันเวย์ของโชว์ที่จะเกิดขึ้น ผู้ชมจะได้รับการแจกข้าวกล่อง(สำเร็จรูป) 1 กล่องให้นั่งชิมขณะชม ถ้าใครอยากรื่นมรมย์กว่านั้นก็มีบริการขายเครื่องดื่มเสริมอย่างเบียร์หรือน้ำอัดลมให้ตามความต้องการ

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_03 Robot Restaurant, Shinjuku 05 รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_03 Robot Restaurant, Shinjuku 06
ถึงแม้พื้นที่จะเล็กจิ๋วแต่ทว่าโชว์ที่จัดให้นั้นก็อลังการเต็มที่ใช้ได้ทีเดียว เสียงเพลงกับแสงสีถูกสาดแสงลงมายังรันเวย์การแสดงพร้อมๆ กับอุปการณ์ในการโชว์ที่เน้นเทคโนโลยีขับเคลื่อนเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็แน่นอนว่าผู้ที่มากับเทคโนโลยีเหล่านั้นก็คือบรรดาสาวๆ ที่แต่งตัวแฟนซีวาบหวิวออกมาเต้นกันอย่างยั่วน้ำลายทีเดียว และสำหรับไฮไลท์ (ที่ใช้โฆษณา) อย่างหุ่นยนต์ตัวใหญ่ที่เป็นรูปสาวสวยหน้าอกโตนั้นก็ถูกบังคับด้วยสาวๆ ออกมาแสดงอย่างน่าสนใจทีเดียว นั่นยังไม่นับโชว์หุ่น (หุ่นจริงๆ) ที่มีเทคโนโลยีที่น่าสนใจและสร้างความบันเทิงได้อย่างดีเยี่ยมสมกับเป็นเทคโนโลยีแห่งความบันเทิงที่การันตีด้วยสัญชาติญี่ปุ่นเลยทีเดียว … ระยะเวลาในการโชว์นั้นรอบละประมาณ 1 ชั่วโมง โดยในแต่ละวันจะแบ่งเป็นรอบต่างๆ 3 รอบ นั่นก็คือ รอบที่ 1 เวลา 19.00 น., รอบที่สองเวลา 20.30 น., รอบที่ 3 เวลา 22.00 น.

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_03 Robot Restaurant, Shinjuku 07

Robot Restaurant  ย่านชินจูกุ (Shinjuku)

ที่ตั้ง : ย่านคาบูกิโชว, เขตชินจูกุ, โตเกียว

เปิด-ปิด : ทุกวัน แบ่งการแสดงเป็น 3 รอบ คือ รอบที่ 1 เวลา 19.00 น., รอบที่สองเวลา 20.30 น., รอบที่ 3 เวลา 22.00 น. (สามารถซื้อตั๋วได้ที่หน้าร้าน หรือสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้)

ค่าบริการ : 5,000 เยน (ราคานี้รวมอาหาร 1 กล่อง + น้ำดื่ม) / หากนำโบรชัวร์หรือโฆษณาในหนังสือต่างๆ มาด้วยจะได้ลดราคา 20% ทั้งนี้แล้วแต่โปรโมชั่นแต่ละช่วงเทศกาลอีกด้วย

ติดต่อ : 03-320-550 / www.robot-restaurant.com

รู้จริงญี่ปุ่น_Tokyo_03 Robot Restaurant, Shinjuku 08
วิธีเดินทาง :

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย M-Marunouchi Line (สีแดง) หรือ สาย F-Fukotoshin Line (สีน้ำตาลทอง) ลงสถานี M09/F13-Shinjuku-sanchome เสร็จแล้วออกทางออก B11

>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย S-Shinjuku Line (สายสีเขียวอ่อน) ลงสถานี S02-Shinjuku-sanchome / เสร็จแล้วออกทางออก B11

 

สำรองที่นั่ง